Thursday, November 7, 2013

สื่อนอกเปรียบไทย 'สาธารณรัฐแห่งทักษิณ'

http://www.posttoday.com/รอบโลก/257671/สื่อนอกเปรียบไทย-สาธารณรัฐแห่งทักษิณ



สื่อต่างประเทศมองไทยคือดินแดนของทักษิณ ชินวัตร แนะรัฐบาลทำเพื่อประชาชนไทยบ้าง


บลูมเบิร์กเปิดเผยบทความของวิลเลียม เปเซค หนึ่งในคอลัมนิสต์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของไทยในปัจจุบันผ่านบทความที่มีชื่อว่า "Thailand's Big Brother Drama" ระบุว่า ประเทศไทยเปรียบได้ว่าเป็น 'สาธารณรัฐแห่งทักษิณ' เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องและมุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของ อดีตนายกรัฐมนตรีท้กษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น

เปเซค เริ่มต้นบทความโดยระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่สาธารณรัฐแห่งทักษิณ" โดยแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่ได้เห็นข้อความดังกล่าวติดอยู่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่เชื่อได้เลยว่า สยามเมืองยิ้มแห่งนี้ได้กลายสภาพไปเป็นดินแดนของบุคคลที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร เสียแล้ว เพราะถึงแม้ว่าอดีตนากยรัฐมนตรีถูกโค่นล้มลงจากตำแหน่งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่เงาของทักษิณ ยังคงปกคลุมและมีบทบาทต่อการเมืองไทยอยู่ดี เห็นได้จากขณะนี้ น้องสาวคนเล็กของทักษิณ ซึ่งก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ขึ้นนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย

ผู้เขียนระบุว่า เป็นธรรมดาของความผูกพันฉันท์พี่น้อง ที่ผลักดันให้ ย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะน้องสาว ต้องคอยดูแลพี่ชายในสายเลือด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของความพยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เพื่อให้ทักษิณตลอดจนนักการเมืองคนอื่นๆพ้นความผิดในคดีต่างๆ จนกลายเป็นมหากาพย์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี ภายหลังจากมีประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวคัดค้านครั้งใหญ่

"และแม้ว่ายิ่งลักษณ์ ได้ออกมาประกาศที่จะยุติการพิจารณาร่างดังกล่าว แต่ใครที่คิดว่า การประกาศดังกล่าว ถือเป็นจุดจบของฝันร้ายของไทย ก็ผิดมหันต์ เนื่องจากมหาเศรษฐีอย่างทักษิณ ก็ไม่ต่างอะไรกับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีสามสมัยของอิตาลีที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองหลายคดีเช่นเดียวกัน ที่จะไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกลับบ้าน เพราะต้องการที่จะกลับมาทวงคืนเงินที่รัฐยึดทรัพย์ไป พร้อมกับทวงเก้าอี้คืน" บทความระบุ

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่า ภายหลังจากมีการประกาศยุติพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ได้มีการมุ่งเป้าความสนใจไปว่า ทักษิณจะได้รับผลกระทบอะไรจากการชะลอร่างครั้งนี้บ้าง ซึ่งเปเซคมองว่า แท้จริงแล้วควรหันกลับมาวิตกกังวลว่า ความวุ่นวายทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหนเสียดีกว่า

"แทนที่นักการเมืองไทยและผู้กำหนดนโยบาย จะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ที่จะพาทักษิณกลับบ้านให้ได้ ควรนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และหาหนทางหลีกเลี่ยงกับดักชนชั้นกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางและล่างให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคงจะดีกว่า" ผู้เขียน ระบุ

นอกจากนี้ คอลัมนิสต์ของบลูมเบิร์ก ยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทยว่า เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ถอดแบบมาจากช่วงที่ทักษิณ ดำรงตำแหน่ง คือพยายามที่จะบิดเบือนนโยบายให้สอดรับกับความต้องการและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง ส่งผลให้ในปัจจุบัน ไทยต้องนั่งจมอยู่กับปริมาณข้าวในคลังจำนวนมหาศาล เท่ากับปริมาณส่งออกถึง2ปี จนบิดเบือนราคาข้าวในตลาดและส่งผลให้ไทยเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย

"ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่สาธารณรัฐแห่งทักษิณ ควรลดความสนใจจากบุคคลเพียงคนเดียว และหันมาตอบสนองความต้องการของมวลชนหมู่มากได้แล้ว" ผู้เขียนกล่าวทิ้งท้าย

Wednesday, October 10, 2012

ศาลออกหมายจับ "ทักษิณ" เบี้ยวนัดคดีกรุงไทยปล่อยกู้-จำหน่ายคดีออกสารบบชั่วคราว


วันที่ 11 ต.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลโดย นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน คดีปล่อยกู้ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์เพื่อสอบคำให้การจำเลยคดี คดีหมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ.2535 โดยจำเลยทั้งหมดมาศาล ยกเว้นอดีตนายกรัฐมนตรี

โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้พวกจำเลยที่มาศาลฟัง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายวันที่ 25 ม.ค.ศกหน้า เวลา 09.00 น. โดยให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัด 14 วัน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ถือว่าได้รับทราบนัดโดยชอบแล้ว มีเหตุให้สงสัยว่าจำเลยจะหลบหนี จึงให้ออกหมายจับ และให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความชั่วคราว

สำหรับคดีนี้ เป็นการกล่าวหาว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1.การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500 ล้านบาท 2.การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท) และ 3.การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร โดยมิชอบ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1349943823&grpid=02&catid=16&subcatid=1600

Sunday, July 15, 2012

ศาลจำคุกทนายดูไบโกงเงิน"ทักษิณ"

ศาลดูไบพิพากษาจำคุกทนายโกงเงินพตท.ทักษิณ ชินตวัตร 580 ล้านบาทจากการขายสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้เข้าบัญชีตัวเอง



เว็บไซต์เดอะเนชั่นแนลแห่งสหรับอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รายงานเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) ว่า ศาลอาญาแห่งรัฐดูไบ พิพากษาจำคุกนาย คาเลด อัล-มูฮาอิรี หุ้นส่วนบริษัทกฏหมายแห่งหนึ่งในรัฐดูไบ เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหายักยอกเงินจำนวน 341 ล้านเดอร์แฮม (ประมาณ 580 ล้านบาท) ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากบัญชีธนาคารในประเทศมอนเตเนโกรของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ใช้เก็บเงินที่ได้จากการขายกิจการสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ เมื่อปี 2552

อัยการดูไบ ระบุว่า นายอัล-มูฮาอิรี ได้ยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวระหว่างการโอนเงินจากการขายสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ เข้าไปยังบัญชีธนาคารในมอนเตเนโกร แต่นายอัล-มูฮาอิรี ได้โอนเงินก้อนนี้เข้าบัญชีตัวเอง และ มีบันทึกแสดงให้เห็นว่า นักกฏหมายผู้นี้แนะนำให้พ.ต.ท.ทักษิณ เก็บเงินรายได้จากการขายสโมสรฯในบัญชีของบริษัทกฏหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกดดันทางการเมือง แต่ต่อมาทนายหัวหมอรายนี้ ได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าไปในบัญชีของตนเอง

ในรายงานข่าว ระบุด้วยว่านายอัล-มูฮาอิรี ได้ใช้เงินที่ยักยอกจากพ.ต.ท.ทักษิณ ราว 339 ล้านบาทซื้อบ้านพักตากอากาศสุดหรูในเขต เอมิเรตส์ ฮิลล์ ซึ่งเป็นย่านที่พักของมหาเศรษฐีในยูเออี

นอกจากนั้น นายอัล-มูฮาอิรี ยังถูกกล่าวหาว่า ยักยอกเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวรุ่น โกลบอล เอ็กซ์อาร์เอส มูลค่า 176 ล้านเดอร์แฮม (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ของบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ด้วยการปลอมลายเซ็นของผู้บริหารบริษัทดังกล่าว โดยนายอัล-มูฮาอิรี ได้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องบินลำดังกล่าวในชื่อ "เวิล์ด ไวท์ อินเวสท์เมนท์ คอร์เปอเรชั่น" และทำหลักฐานว่า เครื่องบินดังกล่าว เป็นของตนเอง

Thursday, May 14, 2009

ตร.สรุป "ทักษิณ"หมิ่นสถาบันจริง

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=47307


วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 16:28
คณะกรรมการสันติบาล สรุป ผลสอบ "ทักษิณ" หมิ่นสถาบันจริง ส่ง สอบสวนกลางดำเนินคดีพรุ่งนี้

พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสถาบันพระมาหากษัตริย์ โดยมีคณะกรรมตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) เข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง

พล.ต.ท.ธีระเดช กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในที่ประชุมมีการสรุปกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซด์ต่างประเทศในช่วงวันที่ 12-13 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า เข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความเห็นสั่งฟ้องและให้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางดำเนินคดีในที่ 15 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมาทางคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสถาบันพระมาหากษัตริย์ได้มีการประชุมไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไม่ได้ข้อสรุป และได้มอบหมายให้ทางสำนักงานเทคโนยรีสารสนเทศและการสื่อสารไปรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจนและนำมาพิจาณาในที่ประชุมอีกครั้งในวันนี้ซึ่งจากหลักฐานทั้งหมดคณะกรรมการได้ข้อสรุปมีความเห็นสังฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดังกล่าว

Sunday, August 31, 2008

ศาลฎีกาฯรับฟ้อง 'ทักษิณ' แปลงภาษีสรรพสามิต

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=175450&NewsType=1&Template=1

วันนี้ (1 ก.ย.) ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับฟ้องกรณีที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลกิจการ เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152, 157 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 กรณีทุจริตการออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชินคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหายกว่า 66,000 ล้านบาท

ด้าน นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า ต้องรอดูว่าในวันที่ 15 ต.ค.นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะแต่งตั้งทนายมาสู้คดีหรือไม่ ถ้าไม่ก็เป็นดุลยพินิจของศาลต่อไป

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุด เพื่อขอให้ดำเนินการส่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณในกรณีนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พักอยู่ที่อังกฤษ หลังจากเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาฯได้ออกหมายจับบุคคลทั้งสอง เนื่องจากทั้งคู่ไม่มารายงานตัวต่อศาลฯ ในคดีจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ตามนัดหมายในวันดังกล่าว ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ออกประกาศสืบจับบุคคลทั้งสอง เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา

Friday, August 15, 2008

ผอ.สำนักผังเมือง กทม. เบิกความ มัด"พจมาน" เผยหลังซื้อที่ดินรัชดาแล้ว อนุญาตให้สร้างตึกสูงได้

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1218811535&catid=01

ผอ.สำนักผังเมืองเบิกความเผยหลัง "อ้อ" ซื้อที่ดินแล้ว ให้สร้างตึกสูงได้ ทนาย"แม้ว-อ้อ"ขอศาลจำหน่ายคดีที่ดินรัชดาฯ ศาลไม่อนุญาตและห้ามถอนตัวเนื่องจากเห็นว่ามีประสงค์ให้หยุดคดี เหตุจำเลยเข้ามาอยู่ในอำนาจศาลแล้วจึงมีอำนาจพิจารณาคดีต่อไปได้ "คำนวณ" ยันไม่ถอดใจ

ทนาย"แม้ว-อ้อ"ขอให้ศาลจำหน่ายคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนออกนั่งบัลลังก์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ไต่สวนพยานจำเลยครั้งที่ 3 คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา 152, 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 มาตรา 4, 100 และ 122

ก่อนเริ่มการพิจารณาเมื่อเวลา 09.00 น. นายคำนวณ ชโลปถัมป์ และนายอเนก คำชุ่ม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือแจ้งให้ทนายจำเลยทั้งสองทราบว่าจำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะให้ทนายความที่จำเลยทั้งสองแต่งตั้งดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งสองต่อไป ทนายจำเลยทั้งสองจึงขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความจำเลยทั้งสอง และเนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่เดินทางมาศาล เพราะได้เดินทางไปพำนักต่างประเทศแล้ว จำเลยทั้งสองจึงยังไม่เข้ามาอยู่ในอำนาจศาล ขอให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ศาลไม่จำหน่ายคดี-ห้ามทนายถอนตัว

โจทก์ได้รับคำร้องแล้วแถลงว่าขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล ศาลใช้เวลาพิจารณาคำร้องประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น พร้อมออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งให้คู่ความทราบเบื้องต้นว่า ศาลไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยทั้งสองถอนตัวออกจากการเป็นทนายจำเลยคดีนี้ และไม่อนุญาตให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองยังอยู่ในอำนาจศาล แต่นายอเนกแถลงโต้แย้งโดยเกรงว่าจะผิดมรรยาททนายความที่จะทำหน้าที่ซักถามโดยที่ตัวความไม่ประสงค์จะให้ดำเนินคดีแทน ทางนายทองหล่อชี้แจงว่า ศาลไม่อนุญาตให้ทนายความถอนตัวแล้ว และมีคำสั่งให้นำพยานที่เตรียมไว้จำนวน 5 ปากเข้าเบิกความทันที

พยานเบิกความชี้หลัง "อ้อ" ซื้อที่ดินแล้ว ให้สร้างตึกสูงได้

สำหรับพยานที่เข้าเบิกความประกอบด้วย นายทร ชาวพิจิตร เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม เบิกความในประเด็นการนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาด นางวิบูลย์เพ็ญ หิตะพันธ์ เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดิน 9 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าเบิกความในประเด็นการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย น.ส.มาลี แม้นมินทร์ รองผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร ขึ้นเบิกความในประเด็นการควบคุมการก่อสร้างอาคารสูงในที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ก่อนการซื้อขายห้ามสร้างอาคารสูงเกิน 9 ชั้น แต่ภายหลังจำเลยซื้อที่ดินแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอนุญาตให้สร้างตึกสูงได้ จากนั้นนางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าเบิกความการปรับลดราคาที่ดินพิพาท และการเปลี่ยนแปลงการลงบันทึกในระบบบัญชี ต่อมานางวิไลวรรณ ศศานนท์ เจ้าหน้าที่ สตง. เข้าเบิกความจนเสร็จสิ้นแล้ว

ศาลแจ้งให้คู่ความทราบว่า ศาลจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที เพื่อประชุมองค์คณะและมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นวันนี้ และให้คู่ความรอฟังคำสั่งในรายงานกระบวนการพิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ถอนทนายแล้ว และเมื่อศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการไต่สวนพยานที่เตรียมมาวันนี้ให้เสร็จสิ้น ระหว่างที่ไต่สวนศาลเปิดโอกาสให้ทนายความจำเลยซักถามพยาน ซึ่งฝ่ายจำเลยเป็นผู้จัดเตรียมมาตามบัญชีนัดพยาน แต่นายเอนกไม่ใช้โอกาสซักถามพยาน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่เหมือนการไต่สวนพยานจำเลยที่ผ่านมาช่วงก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษ ศาลจึงเป็นผู้ซักถามพยานแทน ขณะที่อัยการโจทก์กลับใช้โอกาสซักค้านพยานจำเลยอย่างเต็มที่

ชี้จำเลยไม่มายังมีอำนาจทำคดีต่อได้

ต่อมาเวลา 12.00 น. องค์คณะผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งและรายงานกระบวนการพิจารณา โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองได้มารายงานตัวและให้การต่อศาลแล้ว โดยได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณา และศาลได้อนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลยทั้งสองได้ตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอ ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 10 จำเลยทั้งสองจึงได้เข้ามาอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว แม้ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปได้ การที่จำเลยทั้งสองหลบหนีไม่มาศาลย่อมต้องถือว่าจำเลยทั้งสองสละสิทธิในการต่อสู้คดีเอง กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี เพื่อให้ได้ตัวจำเลยทั้งสองมาศาลก่อนจึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีได้แต่อย่างใด

ระบุชัด"ทนาย"ถอนตัวหวังให้หยุดกระบวนการ

ส่วนที่ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะให้ทนายความดังกล่าวดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งสองต่อไปนั้น ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนแสวงหาพยานหลักฐาน เพื่อค้นหาความจริงตามเนื้อหา แม้จำเลยทั้งสองจะไม่มีทนายความศาลก็สามารถดำเนินการไต่สวนตามพยานหลักฐานไปได้ สำหรับการขอถอนตัวจากการเป็นทนายความตามคำร้องของทนายจำเลยทั้งสองดังกล่าว ก็เห็นได้ว่าเป็นการมุ่งประสงค์เพียงให้ศาลหยุดการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ไว้ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อเจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยทั้งสองถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสอง

ส่วนที่ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าไม่ติดใจไต่สวนพยานที่เหลือคือ นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการผู้จัดการบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), นายวิรัช กุลเพชรประสิทธิ์, น.ส.หนึ่งหทัย วงษ์ทอง และนายวสันต์ เทียนหอม นั้น ศาลเห็นว่าคดีนี้เป็นระบบไต่สวนที่ศาลจะต้องค้นหาความจริงให้ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น และจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นสมควรให้มีการไต่สวนพยานดังกล่าวต่อไป และให้เลื่อนนัดไต่สวนพยานจำเลยทั้งสองไปเป็นในวันที่ 19 สิงหาคม เวลา 09.30 น. ให้ทนายจำเลยทั้งสองติดตามพยาน รวมทั้งนายวราเทพมาเบิกความในวันดังกล่าวด้วย

"ทนายแม้ว" ยันไม่ถอดใจ

ภายหลังนายคำนวณกล่าวยืนยันว่า การยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความคดีนี้ ไม่ได้เป็นเพราะถอดใจ และไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกความไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรม และเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ถอนตัวก็ไม่หนักใจ เพราะในฐานะทนายความก็ยังมีหน้าที่ต้องทำให้ข้อเท็จจริงมาสู่ศาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

"การยื่นคำร้องเป็นสิทธิส่วนตัวของลูกความ เมื่อแต่งตั้งใครมาเป็นทนายความแล้วก็มีสิทธิที่จะถอนได้ แต่เมื่อศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตต้องทำตามคำสั่งศาล ซึ่งจะแจ้งเรื่องนี้ให้ลูกความทราบต่อไป" นายคำนวณกล่าว

นายเอนกกล่าวว่า ยังไม่ถอดใจ การดำเนินคดีก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงและเอกสาร ซึ่งฝ่ายจำเลยได้เสนอศาลไปหมดแล้ว ส่วนที่ศาลไม่อนุญาตตามคำร้องของจำเลยในวันนี้ ในฐานะทนายความถือว่าทำหน้าที่ได้เท่าที่จะทำได้และดีที่สุดแล้ว ซึ่งพยานที่จะเตรียมเข้านำสืบในวันที่ 19 สิงหาคม ยังเหลืออีกประมาณ 7 ปาก อาทิ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. ส่วนนายวราเทพที่ครั้งแรกจำเลยไม่ติดใจที่จะนำตัวมาไต่สวน เพราะเห็นว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว แต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้ทนายความติดตามพยานมาเบิกความให้ครบถ้วน ทีมทนายความก็จะประชุมหารือกันอีกครั้ง และจะแถลงให้ศาลทราบในนัดหน้า

"การยืนคำร้องในวันนี้และศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัว เพราะเห็นว่าเป็นการมุ่งประสงค์ให้ศาลหยุดการพิจารณาคดี ไม่เกี่ยวข้องว่าไม่มีทนายความคนใดทำผิดมรรยาท และไม่มีใครขัดขวางกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น" นายเอนกกล่าว

Thursday, August 14, 2008

สตช.แจกจ่ายหมายจับ"ทักษิณ-พจมาน"

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=173512&NewsType=1&Template=1




วันนี้ (14 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กองทะเบียยนประวัติอาชญากร ได้ออกประกาศกองทะเบียนประวัติอาชญากร เรื่อง สืบจับผู้กระทำความผิด ฉบับที่ 353/2551 โดยแจกจ่ายไปยังสถานีตำรวจทั่วประเทศ พร้อมแจกให้กับสื่อมวลชนนำเผยแพร่ ซึ่งประกาศฉบับแรกเป็นหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร ระบุข้อหา เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติมาตรา 4 ,100 และ 122 และฉบับที่สองเป็นหมายจับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ระบุข้อหา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐฯ และเป็นผู้สนับสนุนฯ,มาตรา 4,100 และ 122







ทั้งนี้ในประกาศได้ระบุรูปพรรณสัณฐานของบุคคลทั้งสองอย่างละเอียด พร้อมระบุวันเกิดเหตุคือวันที่ 11 ส.ค.2551 โดย พ.ต.ท.ทักษิณ มีอายุความ 15 ปี วันขาดอายุความคือ 12 สิงหาคม 2566 และ คุณหญิงพจมาน มีอายุความ 10 ปี วันขาดอายุความ 12 สิงหาคม 2561





นอกจากนี้ ท้ายประกาศยังระบุขอความร่วมมือ ให้ทุกหน่วยงานช่วยติดตามสืบจับ หากผู้ใดพบเห็น หรือทราบแหล่ง/สถานที่หลบซ่อนของผ้กระทำความผิดข้างต้น ให้รีบแจ้งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เพื่อจัดการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ลงประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2551 และลงชื่อ พันตำรวจเอก โสฬส พินิจศักดิ์ รองผู้บังคับการกองทะเบียนประวัติอาชญากร ปฏิบัติราชการแทน ผู้บังคับการกองทะเบียนประวัติอาชญากร.

Monday, August 11, 2008

ศาลฎีกาฯออกหมายจับ 'ทักษิณ-พจมาน' หนีรายงานตัว

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=100231

วันนี้ (11 ส.ค.) ว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตัวแทนทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในคดีทุจริตจัดซื่อที่ย่านดินรัชดาฯ ได้เดินทางเข้ายื่นคำชี้แจงต่อศาลหลังฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานไม่เดินทางมารายงานตัวต่อศาลตามกำหนด

ทั้งนี้ ตัวแทนทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานใช้เวลาในการยื่นคำชี้แจงต่อศาลประมาณ 5 นาที ก่อนจะเดินทางกลับไปโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ

ผู้สื่อข่าวรายต่อว่า หลังจากศาลได้รับหนังสือชี้แจงจากตัวแทนนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานทำผิดสัญญาประกันและจงใจไม่เดินทางกลับประเทศไทยโดยขอลี้ภัยถือว่า ผิดสัญญาประกันจึงสั่งปรับเบี้ยประกัน โดยให้ธนาคารนำส่งเงินตามสัญญาประกันจำนวน 13 ล้านบาทต่อศาลภายใน 5 วัน นอกจากนั้น ยังได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานมีผลทันที

Wednesday, July 30, 2008

ฟ้าผ่า!ตระกูลชินวัตร สั่งจำคุก 'พจมาน' 3 ปี

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=98932

ที่ศาลอาญา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยบุตรชายและบุตรสาว ได้เดินทางมาให้กำลังใจคุณหญิงพจมาน ภริยา ที่มาฟังคำพิพากษาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)ที่ตกเป็นจำเลยพร้อมกับนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน ท่ามกลางประชาชนนับพันคนที่เดินทางมาให้กำลังใจ
พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน มีสีหน้ายิ้มแย้ม และโบกมือทักทายกับทุกคน ทั้งนี้ ศาลได้ขอความร่วมมือกลุ่มผู้สนับสนุนทุกคนห้ามใช้ถ้อยคำหยาบคาย ยั่วยุ หรือก่อความวุ่นวายเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ศาลได้กล่าวก่อนการอ่านคำพิพากษาว่า เป็นที่น่าเสียใจว่า สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันทำให้ประชาชนมีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องแก้ไข แต่เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นคนกลาง มีอำนาจชี้ขาด ขอให้ประชาชนวางใจได้ว่าศาลจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย แม้แต่คดีนี้ ศาลได้ประชุมปรึกษากันพิจารณาข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานจากสำนวน ไม่มีอคติ ไม่มีกระแสฝ่ายใดมากดดัน ผลของคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร หากคู่ความไม่พอใจ สามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามกฎหมาย
โดยคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1 นายบรรณพจน์ จำเลยที่ 2 และนางกาญจนาภา จำเลยที่ 3 ซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(2) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดหลายกรรมต่างกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 57 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้วหนีโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี

Wednesday, June 25, 2008

BBCตีข่าวทนายทักษิณซุกเงินศาล2ล.บอกรัฐเคยพยายามแก้ รธน. ช่วย

http://www.innnews.co.th/around.php?nid=118322

บีบีซี รายงานข่าว 3 ทนายความทักษิณ ถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน ข้อหาพยายามติดสินบนผู้พิพากษาศาล แถมระบุด้วยว่า รัฐบาลเคยพยายามแก้รัฐธรรมนูญช่วยอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ แต่ถูกกดดันให้ถอยกลับเสียก่อน

สำนักข่าวบีบีซี สื่อชื่อดังของอังกฤษ เผยข่าว ทนายความทักษิณ ถูกศาลจำคุก 6 เดือน ข้อหาพยายามตัดสินบน พร้อมระบุว่ารัฐบาลไทย พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลืออดีตนายหรัฐมนตรีของไทย

บีบีซี ระบุว่า เงินสินบนถูกส่งไปยังศาล โดยซุกซ่อนในถุงขนม หลังจาก เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทนายความ 2 คนของทักษิณเดินทางไปยังศาลฎีกา เพื่อรับฟังการพิจารณาคดีของทักษิณและภริยา และได้มอบถุงขนมให้กับเจ้าหน้าที่ศาล พร้อมบอกกับพวกเขาว่าเอาไปแบ่งๆ กัน และภายในถุงแทนที่จะเป็นขนม แต่พบว่า มันห่อเงินสดจำนวนราว 60,000 ดอลลาร์ ( 2 ล้านบาท

สื่อชื่อดังยังได้เผยว่า ความสงสัยทั้งหมดได้พุ่งตรงไปยังทนายความของทักษิณในทันที แต่พวกเขาอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและบอกว่า เรื่องนี้มีเจตนาดิสเครดิต อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ สำนักข่าวชื่อดัง ยังเชื่อว่า พ.ต.ท. ทักษิณ มีความกังวลจากข้อกล่าวหาซื้อที่ดินผิดกฎหมายโดยภรรยาของเขา ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง เพราะถ้าพบว่า มีความผิดทั้งสองคนอาจต้องติดคุกและโอกาสกลับสู่การเมืองในภายภาคหน้าแทบ จะจบสิ้นลง

บีบีซี รายงานต่อว่า รัฐบาล ซึ่งนำโดยพันธมิตรของทักษิณ พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีความหวังเพื่อจะสร้างโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นผิดจากคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชินวัตร

Wednesday, June 18, 2008

อังกฤษเรียก 'ทักษิณ' สอบด่วน สะพัด! ประธานฟีฟ่า-ยูฟ่าฉุนจัดที่ฉวยครอบครองสโมสรบอลผู้ดี

http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2292

วันที่ 18 มิถุนายน 2551

แฟนบอลเรือใบสีฟ้า-หงส์แดง ฮือ! ตะเพิด 'ทักษิณ-2 เจ้าของลิเวอร์พูล' บริหารงานห่วย รัฐสภาอังกฤษเชิญ 3 เจ้าของต่างชาติสอบหาข้อเท็จจริง โดยเฉพาะปธ.แมนฯซิตี้ หลังสั่งปลดกุนซือ 'สเวน' ออกแบบไร้เหตุผล สะพัดประธานยูฟ่าและฟีฟ่าไม่พอใจที่เศรษฐีต่างชาติมากว้านซื้อสโมรสรฟุตบอลผู้ดี

รายงานข่าวจากกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ระบุว่า รัฐสภาของอังกฤษ ได้เชิญตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ชาวไทย และทอม ฮิคส์ กับจอร์จ ยิลเล็ตต์ 2 เจ้าของร่วมของสโมสรลิเวอร์พูล ชาวอเมริกันไปสอบสวน หลังจากทั้ง 3 คน สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลในอังกฤษในฐานะเจ้าของสโมสรชาวต่างชาติ โดยร้องเรียนว่า บริหารงานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งแฟนบอลของทั้ง 2 สโมสร ได้แสดงท่าทีต่อต้าน 3 เจ้าของชาวต่างชาติอย่างชัดเจนในขณะนี้ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลแมนซิตี้ในอังกฤษเป็นอย่างมาก ภายหลังการปลด สเวน โกรัน อีริคส์สัน ออกจากตำแหน่งอย่างไม่มีเหตุผล

รายงานระบุว่า ขณะนี้สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ 13 คน กำลังสอบสวนปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารสโมสรฟุตบอลอังกฤษอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะต่อกระแสวิตกของแฟนบอลเรื่องการที่ชาวต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรอังกฤษและมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่รายงานบัญชีเปิดเผยเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ระบุว่า บรรดามหาเศรษฐีชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเมื่อปีที่แล้ว ได้บริหารสโมสรดังมีหนี้สินรวม 33 ล้านปอนด์ นับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 2007 โดยสมาชิกรัฐสภาอังกฤษยังได้เรียกนายริค แพร์รี่ อดีตผู้บริหารระดับสูงของสโมสรลิเวอร์พูลที่ต้องลาออกตามความต้องการของนายทอม ฮิลค์ ประธานสโมสรชาวอเมริกัน มาให้ข้อมูลแก่สมาชิกรัฐสภาด้วย

แต่ในรายของพ.ต.ท. ทักษิณนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับสาวกเรือใบเป็นอย่างมากกับการตะเพิดสเวนโกรัน อีริคส์สันออกจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรมจึงทำให้รัฐสถาอังกฤษต้องเชิญมาสอบสวนถึงปัญหาดังกล่าว ขณะที่เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์ประธานฟีฟ่า และมิเชล พลาตินี่ประธานยูฟ่าต่างก็แสดงความไม่พอใจที่เศรษฐีต่างชาติกว้านซื้อสโมสรฟุตบอลของอังกฤษไปเป็นกรรมสิทธิ์

สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น ได้บริหารสโมสรดังแห่งนี้เป็นเวลา 1 ปี แต่ต้องเผชิญกระแสวิพากษ์โจมตีต่อกรณีปลดสเวน โกรัน อีริกส์สัน เมื่อช่วงต้นเดือน จากการกระทำที่เขายอมรับว่าเป็นเรื่องโหดร้าย จากการปลดโค้ชชาวสวีเดนผู้นี้จากตำแหน่ง ทั้งที่เพิ่งบริหารทีมได้เพียงปีเดียว และสามารถนำทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่เก้า และคาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเคยถูกกล่าวหาในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในช่วงดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯของไทย จะถูกเรียกตัวมาให้สอบถามเพื่อตรวจสอบว่าได้บริหารสโมสรแมนฯซิตี้อย่างสมบูรณ์และเหมาะสมหรือไม่

รายงานระบุว่า นอกเหนือจากนายทอม ฮิลค์ นายจอร์จ ยิลเลตต์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว สมาชิกรัฐสภาอังกฤษชุดดังกล่าว ยังมีแผนจะเชิญนายโฮเซ่ มูรินโญ่ มาให้ข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายโรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เจ้าของทีมเชลซี ด้วย หลังจากมูรินโญ่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งปัจจุบันนายโรมันได้ทำสัญญาจ้างนายหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ แทนนายอัฟราม แกรนต์ ที่ถูกมอบหมายให้คุมทีมเชลซีหลังจากมูรินโญ่ถูกปลด นอกจากนี้

อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภาอังกฤษยังมีแผนเชิญประธานฟีฟ่าและประธานยูฟ่า มาให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวด้วย

Thursday, November 29, 2007

ปปช.ตั้ง 3อนุสอบ'ทักษิณ-สุริยะ-ศรีสุข' ทุจริตสุวรรณภูมิ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/29/WW03_0301_news.php?newsid=207140

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

"กล้านรงค์" เผยปปช.ตั้งอนุสอบ"ทักษิณ"ทุจริตประมูลจ้างเหมา รปภ. "สุริยะ"ทุจริตตั้งร้านค้าปลอดภาษี และ"ศรีสุข"ทุจริตประกวดราคาขยายทางสายหลัก 8 เส้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษก กล่าวถึงผลการประชุมป.ป.ช. ว่าที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องที่สำคัญ 3 เรื่อง

คือ 1.กรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) กับพวก ร่วมกันทุจริตในการประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยวิธีพิเศษ โดยมีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

2.กรณีกล่าวหานายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคมกับพวกร่วมกันทุจริตโครงการจัดตั้งร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค และการบริหารกิจการเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

3.กรณีกล่าวหานายศรีสุข จันทรางศุ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวงกับพวกทุจริตเกี่ยวกับการประกวดราคาก่อสร้างเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็นสี่ช่องทางจราจร จำนวน 8 สายทาง โครงการเงินกู้เจบิกโดยมีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

Sunday, July 1, 2007

เว็บไซต์สื่อเมืองผู้ดีรายงาน 'ทักษิณ'อาจถูกส่งกลับดำเนินคดีในไทย

http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/02/WW10_WW10_news.php?newsid=81857

2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เว็บไซต์สื่อเมืองผู้ดีรายงาน 'ทักษิณ'อาจถูกส่งตัวกลับ ถูกดำเนินคดีในไทย หลังตรวจพบการซื้อหุ้นแบบมีลับลมคมใน

เว็บไซต์ timesonline.co.uk รายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถถูกส่งตัวจากอังกฤษมาขึ้นศาลที่ไทยในคดีเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นได้ โดยรายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจว่า การเจรจาซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใกล้จะเสร็จเรียบร้อย

แต่จากการตรวจสอบของหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ไทมส์ พบว่าการตกลงครั้งนี้มีลับลมคมใน โดย 2 สัปดาห์ก่อน บริษัท ยูเคซิล ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งตั้งขึ้น บรรลุข้อตกลงกับผู้บริหารทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้เรื่องการซื้อหุ้น 55 เปอร์เซ็นต์ และเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ทีมอยู่ภายใต้การบริหารเต็มที่ แต่การเทคโอเวอร์ก็เกิดขึ้นในช่วงเดียวที่ประเทศไทยเริ่มดำเนินคดีกับเขา

พ.ต.ท.ทักษิณ ตกลงซื้อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 81 ล้านปอนด์ โดยมีหนี้สินอยู่ 60 ล้านปอนด์ ซึ่งทักษิณจะรับมาทั้งหมด และจะชำระทันที 20 ล้านปอนด์ ในการจะหาเงินมาซื้อทีมในเบื้องต้น ยูเคซิลต้องยืมเงินจากบริษัทโฮลดิ้งในอังกฤษ แต่เงินก้อนนี้มีที่มาจากไหน ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหุ้นอยู่ใน ยูเคซิล โฮลดิ้ง แค่ 5,700 ปอนด์ ซึ่งถ้ามีการซื้อขาย บริษัทนี้ก็จะเป็นเจ้าของทีม ส่วนลูกชายและลูกสาวของเขา 2 คน ถือหุ้นในบริษัทแค่คนละ 280,000 ปอนด์

ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในโฮลดิ้งคือ บริษัท ประไหมสุหรี ที่จดทะเบียนอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน หลังสินทรัพย์บางส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกอายัด บริษัทนี้เข้าซื้อหุ้นในยูเคซิล 25 ล้านปอนด์ ซึ่งดูเหมือนการอัดฉีดเงินเพื่อซื้อทีม เอกสารของที่ปรึกษาทางการเงินของยูเคซิลระบุว่า ประไหมสุหรีควบคุมโดย พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ปัญหาคือเขาคุมบังเหียนบริษัทได้อย่างไร เมื่อเอกสารชี้ว่าปัจจุบันเขาไม่มีหุ้นในบริษัทใดๆ มากนัก

ขณะที่ฝ่ายกฏหมายของเขาก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ ทั้งยังมีข้อมูลว่า ประไหมสุหรีเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่ได้เงินจากการขายหุ้นชินคอร์ป ที่ทางการไทยพยายามติดตามหา และอายัด ยูเคซิล ระบุว่า พวกเขาสามารถใช้เงิน 25 ล้านปอนด์ได้ เพราะอยู่ในธนาคารอังกฤษ หลังออกมาจากประเทศไทยก่อนการอายัด และการโอนเงินก็ถูกตรวจสอบโดย ซีมัวร์ เพียซ นักการธนาคารเพื่อการลงทุนที่ให้คำแนะนำในประเทศไทย เพื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปโดยเรียบร้อยแล้ว

Saturday, June 16, 2007

ต่างชาติชี้รัฐบาลแม้วคอรัปชั่น ชาวกรุงหนุนปุระชัยนั่งนายกฯ

http://www.komchadluek.net/2007/06/17/a001_123144.php?news_id=123144

เอแบคโพลล์สำรวจพบต่างชาติ 59.3 เห็นรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น "สนธิ บุญยรัตกลิน"เป็นบุคคลสำคัญต่อการชี้นำการเมืองไทยมากที่สุด อยากได้"ปุระชัย" เป็นนายกฯคนใหม่

(17 มิ.ย.) ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(The ABAC Social Innovation in Management and Business Analysis)เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่องคนไทยและชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (The ABAC Social Innovation in Management and Business Analysis) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “คนไทยและชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน” โดยสำรวจจากคนไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 1,750 คน ระหว่างวันที่ 13 - 16 มิถุนายน 2550 และชาวต่างชาติจำนวน 558 คน ระหว่างวันที่ 11 - 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา

สำหรับผลสำรวจในกลุ่มคนไทย พบว่า คนไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามถึงบุคคลที่มีนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 46.3 ระบุ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองลงมา คือ ร้อยละ 24.8 ระบุเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 20.5 ระบุ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 16.0 ระบุ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ ร้อยละ 9.7 ระบุอื่นๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ตามลำดับ

และเมื่อสอบถามถึงกลุ่มบุคคลนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 26.2 ระบุเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ร้อยละ 16.7 ระบุ ทหารหรือกองทัพ ร้อยละ 13.6 ระบุ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย ร้อยละ 9.6 ระบุผู้นำม็อบ/ ประชาชนที่ก่อม็อบ PTV ร้อยละ 9.3 ระบุชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 7.5 ระบุ กลุ่ม ส.ส. /กลุ่มนักการเมือง ร้อยละ 6.8 ระบุรัฐบาล และ ร้อยละ 10.9 ระบุอื่นๆ เช่น พรรคประชาธิปัตย์/กลุ่มประชาธิปไตย และม็อบต่อต้านทักษิณ เป็นต้น

เมื่อสอบถามถึงตัวบุคคลที่มีนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยด้านคุณธรรม พบว่า ร้อยละ 46.3 ระบุ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รองลงมาคือร้อยละ 26.7 ระบุ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ร้อยละ 15.9 ระบุ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 7.4 ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 5.1 ระบุ นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 7.8 ระบุอื่นๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ / นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น

ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มบุคคลนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเชิงคุณธรรม พบว่า ร้อยละ 27.5 ระบุเป็นชาวบ้าน และประชาชนทั่วไป รองลงมาคือร้อยละ 24.4 ระบุเป็นพระสงฆ์/ศาสนา ร้อยละ 22.3 ระบุเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ร้อยละ 20.3 ระบุเป็นรัฐบาล ร้อยละ 5.1 ระบุ กลุ่มผู้สนับสนุน พรรคไทยรักไทย ร้อยละ 4.4 ระบุนักวิชาการ/ ครูอาจารย์ และร้อยละ 8.3 ระบุอื่นๆ อาทิ กลุ่ม ส.ส. นักการเมือง และ คตส. เป็นต้น

ประเด็นสำคัญคือ ประชาชนที่ถูกศึกษาเกือบครึ่งหรือร้อยละ 48.6 อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นภายในไม่เกิน 3 เดือนนี้ ร้อยละ 31.6 อยากให้มีการเลือกตั้งภายใน 3 - 6 เดือน และร้อยละ 19.8 อยากให้มีการเลือกตั้งหลังจาก 6 เดือนขึ้นไป

เมื่อสอบถามถึงบุคคลที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในทรรศนะของประชาชน พบว่า ร้อยละ 41.7 ระบุ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองลงมาคือร้อยละ 37.7 ระบุนายอานันท์ ปันยารชุน ร้อยละ 34.6 ระบุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 31.0 ระบุนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ร้อยละ 28.1 ระบุ นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 17.5 ระบุอื่นๆ อาทิ นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

ดร.นพดล กล่าวว่า ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของชาวต่างชาติ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการที่สำรวจพบ คือ

ชาวต่างชาติที่ถูกศึกษาในครั้งนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.4 รับรู้สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ในขณะที่เพียงร้อยละ 14.6 ไม่รับรู้เลย ผลสำรวจพบด้วยว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 เห็นด้วยต่อข้อความที่ว่า รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น ในขณะที่ร้อยละ 7.4 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 33.3 ไม่มีความเห็น

ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ชาวต่างชาติประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.0 เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า การขับไล่ คมช. จะนำไปสู่ความรุนแรงต่อไปในประเทศไทย ในขณะที่ร้อยละ 25.6 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 25.4 ไม่มีความเห็น ส่วนความคิดเห็นต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทยหลังการเลือกตั้งใหม่ พบว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.9 คิดว่าจะทำให้มีเสถียรภาพ ในขณะที่ร้อยละ 12.9 ไม่คิดว่าจะทำให้มีเสถียรภาพ และร้อยละ 19.2 ไม่มีความเห็น

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.9 เห็นว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่เป็นวิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาสถานการณ์การเมืองไทยได้ดีที่สุด ในขณะที่ ร้อยละ 12.1 ไม่คิดว่าเหมาะสม

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 คิดว่า คนไทยจะมีความรักความสามัคคีกันในปีนี้ เพราะ เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / เพราะคิดว่าคนไทยรักความสงบ เพราะคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความสุข และเพราะคิดว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาในจิตใจของคนไทย เป็นต้น ในขณะที่เพียงร้อยละ 18.1 คิดว่าคนไทยคงไม่มีความรักความสามัคคีกัน เพราะมีแต่เหตุการณ์ที่วุ่นวายหลายเรื่อง เช่น ปัญหาการเมือง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่น่าพึงพอใจสำหรับคนไทยคือ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.7 ระบุว่ามีความตั้งใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก ในขณะที่ร้อยละ 4.3 เท่านั้นที่ไม่คิดว่าจะกลับมาเมืองไทยอีก ยิ่งไปกว่านั้น ชาวต่างชาติเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 30.3 ระบุถ้าเกิดใหม่ได้ อยากเกิดมาเป็นคนไทย ในขณะที่ร้อยละ 56.1 ระบุไม่อยาก เพราะพอใจกับเชื้อชาติของตน เพราะสถานการณ์การเมืองไทยและเศรษฐกิจไทยไม่ดี เพราะสังคมไทยยุ่งยากซับซ้อนเข้าใจยาก และเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนเกินไป เป็นต้น และพบด้วยว่าชาวต่างชาติร้อยละ 13.6 ระบุขอคิดดูก่อนเพราะยังไม่แน่ใจว่าถ้าเลือกเกิดใหม่ได้จะเลือกเกิดเป็นคนไทยหรือไม่

ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับคนไทยแล้ว บุคคลนัยสำคัญต่อการเมืองไทยขณะนี้คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ถ้ากล่าวถึงบุคคลนัยสำคัญต่อสังคมคุณธรรมของประเทศขณะนี้คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในขณะที่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย และประชาชนทั่วไปคือกลุ่มบุคคลที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ โดยประชาชนคนไทยอยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเพื่อเป็นทางออกของสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน และ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ กำลังถูกมองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ภายใต้ข้อจำกัดของตัวเลือกทางการเมืองภายหลังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมือง 111 แกนนำพรรคไทยรักไทย

ในขณะที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่เป็นทางออกที่ดีที่สุดเช่นกัน และหวังว่าคนไทยจะรักและสามัคคีกันในปีนี้เพราะรู้ว่าปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคิดว่าคนไทยรักความสงบ โดยส่วนใหญ่อยากกลับมาเมืองไทยอีก และเกือบ 1 ใน 3 ระบุถ้าเลือกเกิดใหม่ได้อยากเกิดมาเป็นคนไทย

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ผลสำรวจออกมาเช่นนี้ พวกเราคนไทยน่าจะลดอคติที่มีต่อกัน เพราะอคติเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหมู่คนไทยเหลือน้อยลงไป พวกเราน่าจะนึกถึงวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีน้ำใจเกื้อกูลกัน เอื้ออาทรต่อกัน เพราะความดีงามเหล่านี้เป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นในสังคมประเทศทั่วโลกและครอบครองใจชาวต่างชาติที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสสังคมไทย ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศในขณะนี้อยู่ในมือของคนไทยทุกคนที่จะหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธีและช่วยกันนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปได้

Thursday, June 14, 2007

ต้องให้กำลังใจกระบวนการปราบโกง

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=41134&NewsType=2&Template=1

ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือ โต้แย้ง จากกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 52,884 ล้านบาท โดยใช้มูลเหตุในการดำเนินการคือ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพวก ได้ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติได้ทรัพย์สินโดยมิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากผลการตรวจสอบและไต่สวนของอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของ คตส.

ตามขั้นตอนหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกถูก อายัดทรัพย์ สามารถเข้าชี้แจงได้ด้วยตัวเองหรือส่งตัวแทนเข้าชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด 60 วัน แต่ที่น่าสนใจท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คงจะเป็นการเปิดเผยของนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. ที่ระบุว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็ก จากวงเงินมูลค่า 73,000 ล้านบาท เหลือเพียง 52,884 ล้านบาท โดยเป็นข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วว่า เงินที่หายไปนำไปดำเนินธุรกรรมทางด้านใดบ้าง

ที่สำคัญคือ คตส. ควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การออกมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้กับอดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 โดยเร็ว เพื่อไม่ให้คนบางกลุ่มนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นและขยายผลว่า มติของ คตส. ในการเสนออายัดทรัพย์เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือที่มีการระบุว่า คตส. ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เหมือนกับกรณีที่คนบางกลุ่มพยายามโต้แย้งว่า การวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งของคนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบุคคลที่มีหน้าที่ในการแก้ไขจะต้องเร่งยุติปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว

หลังจากที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าล้มล้างรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้เหตุผล 4 ประการที่ประกอบด้วย 1. บ้านเมืองมีความแตกแยก 2. องค์กรอิสระถูกแทรกแซง 3. มีการกระทำที่ส่อว่าจะทุจริตและคอร์รัปชัน และ 4. การกระทำที่ส่อว่าหมิ่นเบื้องสูงนั้น คนส่วนใหญ่เห็นว่าการผลักดันให้มีองค์กรในการตรวจสอบข้อครหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันดูจะมีผลงานคืบหน้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น คตส. และ ป.ป.ช. ทั้งที่การตรวจสอบเรื่องความไม่ถูกต้องในสังคมมักจะไม่มีใครกล้ารับทำหน้าที่นี้ โดยเกรงว่าจะมีปัญหา ดังนั้นคนที่อยากเห็นความถูกต้องในสังคมต้องช่วยกันให้กำลังใจกับ คตส. และ ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและนำทรัพย์สินที่ถูกฉ้อฉลกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติโดยเร็ว.

ต้องให้กำลังใจกระบวนการปราบโกง

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=41134&NewsType=2&Template=1

ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือ โต้แย้ง จากกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 52,884 ล้านบาท โดยใช้มูลเหตุในการดำเนินการคือ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพวก ได้ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติได้ทรัพย์สินโดยมิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากผลการตรวจสอบและไต่สวนของอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของ คตส.

ตามขั้นตอนหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกถูก อายัดทรัพย์ สามารถเข้าชี้แจงได้ด้วยตัวเองหรือส่งตัวแทนเข้าชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด 60 วัน แต่ที่น่าสนใจท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คงจะเป็นการเปิดเผยของนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. ที่ระบุว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็ก จากวงเงินมูลค่า 73,000 ล้านบาท เหลือเพียง 52,884 ล้านบาท โดยเป็นข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วว่า เงินที่หายไปนำไปดำเนินธุรกรรมทางด้านใดบ้าง

ที่สำคัญคือ คตส. ควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การออกมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้กับอดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 โดยเร็ว เพื่อไม่ให้คนบางกลุ่มนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นและขยายผลว่า มติของ คตส. ในการเสนออายัดทรัพย์เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือที่มีการระบุว่า คตส. ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เหมือนกับกรณีที่คนบางกลุ่มพยายามโต้แย้งว่า การวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งของคนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบุคคลที่มีหน้าที่ในการแก้ไขจะต้องเร่งยุติปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว

หลังจากที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าล้มล้างรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้เหตุผล 4 ประการที่ประกอบด้วย 1. บ้านเมืองมีความแตกแยก 2. องค์กรอิสระถูกแทรกแซง 3. มีการกระทำที่ส่อว่าจะทุจริตและคอร์รัปชัน และ 4. การกระทำที่ส่อว่าหมิ่นเบื้องสูงนั้น คนส่วนใหญ่เห็นว่าการผลักดันให้มีองค์กรในการตรวจสอบข้อครหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันดูจะมีผลงานคืบหน้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น คตส. และ ป.ป.ช. ทั้งที่การตรวจสอบเรื่องความไม่ถูกต้องในสังคมมักจะไม่มีใครกล้ารับทำหน้าที่นี้ โดยเกรงว่าจะมีปัญหา ดังนั้นคนที่อยากเห็นความถูกต้องในสังคมต้องช่วยกันให้กำลังใจกับ คตส. และ ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและนำทรัพย์สินที่ถูกฉ้อฉลกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติโดยเร็ว.

Tuesday, June 12, 2007

โพลชี้ ปชช.หนุน คตส.สั่งอายัดทรัพย์'ทักษิณ'

http://www.innnews.co.th/politic.php?nid=42087

สวนดุสิตโพลระบุประชาชนร้อยละ 51.08 เห็นด้วย คตส.สั่งอายัดทรัพย์สิน 'ทักษิณ' นอกจากนี้ร้อยละ 64.22 ชี้อาจทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงมากขึ้น

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,110 คน ระหว่างวันที่ 11-12 มิถุนายน 2550 ถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. สั่งอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบว่า ประชาชนร้อยละ 51.08 เห็นด้วยกับการอายัดทรัพย์สินกว่า 50,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และร้อยละ 49.5 ยังเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่รุนแรงเกินไป สมเหตุสมผลตามหลักฐาน และเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ขณะที่มีประชาชนเพียงร้อยละ 29.19 เท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการอายัดทรัพย์

นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 64.22 เห็นว่า การออกคำสั่งอายัดทรัพย์ อาจทำให้เกิดปัญหาความรุนแรง และก่อให้เกิดปัญหาความวุ่นวายมากขึ้น

Monday, June 11, 2007

อายัดทรัพย์ 'ทักษิณ'! ทุจริต-ร่ำรวยผิดปกติ

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=50245

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ทุกบัญชีธนาคาร และสถาบันการเงิน รวม 21 บัญชี

เบื้องต้นมีพยานและหลักฐานอันเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวก ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินที่มิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อต่อกิจการของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม โดยพฤติการณ์ทุจริตและประพฤติมิชอบ มีพยานจนถึงขั้นถูกกล่าวหาถึง 5 คดี เช่น ทุจริตโครงการจัดซื้อที่ดิน มูลค่าตามสัญญา 742 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการจัดซื้อกล้ายาง 1,440 ล้านบาท ของกรมวิชาการเกษต

นอกจากนี้ ยังมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ อีก 6 คดี เช่น การแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า หรือ พรีเพด เพื่อประโยชน์แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เวอร์วิส จำกัด หรือ เอไอเอส ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์

จากพฤติการณ์ทั้งหมด ทำให้คณะกรรมการ คตส. เห็นว่าผลการดำเนินการตรวจสอบในหลายๆ เรื่อง มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ มีการทุจริตและประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติ และเนื่องจากได้พบว่าเงินบางส่วนนั้นถูกยักย้ายถ่ายโอนไปแล้ว อาทิ เงินค่าขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งยังเหลืออยู่ในบัญชีประมาณ 52,884 ล้านบาทเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด 73,271 ล้านบาท ดังนั้น คตส.มีมติให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทุกบัญชีเงินฝาก ทุกธนาคาร ทุกสถาบันการเงิน รวมทั้งหมด 21 บัญชี

ทรท.กร่อยประชุม40กว่าคนโวตั้งเครือข่ายหนุน'ทักษิณ' นอกประเทศ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/11/WW03_0301_news.php?newsid=78301

11 มิถุนายน พ.ศ. 2550 17:49:00

"พงษ์เทพ"เป็นประธานประชุมอดีตกก.บริหารทรท.40กว่าคน 2อดีตรมว.คนนอกโผล่ร่วม ด้าน"นิสิต" เผยตั้งเครือข่ายรายภาคและนอกประเทศ โวระดมสมาชิกสมัครพรรคใหม่ให้ได้ 19 ล้านเสียง

ที่อาคารไอเอฟซีที ที่ทำการพรรคไทยรักไทย เวลา 13.00 น. นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำกลุ่มไทยรักไทย เป็นประธานประชุมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิการเมือง โดยมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเข้าร่วมประชุมประมาณ 40 กว่าคน

เช่น นายจำลอง ครุฑขุนทด นายสุธรรม แสงประทุม นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล นอกจากนี้ ยังมีนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ร.อ.สุชาติ เชาววิศิษฐ์ อดีต รมว.คลัง มาร่วมด้วย

ทั้งนี้ ไม่ปรากฎอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ย้ายไปอยู่กับกลุ่มมัชฌิมา รวมทั้งกลุ่มสมานฉันท์และธรรมาธิปไตย ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย เดินทางไปฮ่องกงตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา มีกำหนดกลับวันเดียวกันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเริ่มการประชุมได้เกิดการปะทะคารมขึ้นเล็กน้อยระหว่างนายทวี ไกรคุปต์ อดีตส.ส.บัญชรายชื่อพรรคไทยรักไทย กับสื่อมวลชน โดยนายทวี เข้ามาต่อว่าและห้ามช่างภาพ โดยระบุว่าถึงถ่ายไปก็ไม่ได้ออกอากาศ พร้อมขอดูบัตรช่างภาพและผู้สื่อข่าวว่าเป็นนักข่าวจริงหรือไม่ ทำให้เกิดการถกเถียงกันนานถึงครึ่งชั่วโมง จนเจ้าหน้าที่พรรคต้องมาห้ามทัพ

ต่อมา นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายประชา ประสพดี อดีตส.ส.สมุทรปราการ ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและพานายทวี ออกไปสงบสติอารมณ์ที่ด้านนอกอาคาร ทำให้นายทวีไม่พอใจอย่างมากเดินทางออกจากพรรคไปทันที โดยไม่ร่วมประชุมใดๆ

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 10.00 น.นายนิสิต สินธุไพร ประธานกลุ่มคนรักทักษิณ ไม่เอาเผด็จการ เป็นประธานกรประชุมอดีต ส.ส.ไทยรักไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม โดยแบ่งการประชุมออกเป็นรายภาค จากนั้นนายนิสิต เปิดเผยว่า ได้มีการประเมินสถานการณ์การชุมนุม โดยเห็นว่ายุทธศาสตร์ของกลุ่มจะพยายามเคลื่อนไหวโดยระดมคนให้มากที่สุด ทั้งในส่วนของการสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มผ่านแบบฟอร์ม ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีสมาชิกจำนวนเท่ากับคะแนนเสียงของส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อปี 2549 คือ 19 ล้านเสียง และขณะนี้ทางกลุ่มมีแนวร่วมในต่างประเทศ

ได้แก่ กลุ่มคนรักทักษิณฯ ในซานฟรานซิสโก ที่มีนายเอนก ชัยชนะ เป็นประธาน สาขาชิคาโก มีนายปรีชา ฉ่ำแฉล้ม เป็นประธาน นอกจากนี้ยังมีอีก 2 แห่งที่อยู่เลือกประธานกลุ่ม คือสาขานิวยอร์ก และฝรั่งเศส ส่วนบรรยากาศตอนนี้เดินหน้าเข้าสู่เผด็จการเต็มรูปแบบและมีความพยายามเข่นฆ่าทางการเมือง เช่น ล่าสุดเมื่อช่วงวันเดียวกันนี้ทหารได้บุกตรวจค้นบ้านพักนายศุภชัย โพธ์สุ อดีตส.ส.นครพนม ที่กรุงเทพฯ และนายพรชัย อรรถปรียางกูร อดีตส.ส.เชียงใหม่ก็ถูกทหารควบคุมตัว ดังนั้นกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งนั้น วันนี้ไปถามประชาชนไม่มีใครเชื่อ เขาเชื่ออย่างเดียวว่าจะมีปฏิติซ้ำ

นายสุรชัย เบ้าจรรยา กล่าวว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. เวลา 12.00 น. จะมีกลุ่มคนรากหญ้าจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน จะไปเดินทางไปประท้วงขับไล่คมช.ที่หน้ากองทัพบก ด้วยการวางพวงหรีดและโกนหัวประท้วง

นายพงศ์เทพ เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ได้เชิญอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์มาหารือถึงผลของคำวินิจฉัย รวมถึงข้อโต้แย้งทางกฎหมายที่ได้ดำเนินการไป และยังแจ้งให้ทราบถึงหน้าที่ของอดีตกรรมการบริหารว่าขั้นตอนต่อไป จะต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ส่วนการขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่นั้น เรายังยืนยันว่าจะใช้ชื่อพรรคไทยรักไทยเหมือนเดิม ไม่ได้เตรียมชื่ออื่นๆสำรองไว้ เมื่อถามถึง กรณีที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการเลื่อนเลือกตั้งให้เร็วขึ้น อาจทำให้ตั้งพรรคใหม่ไม่ทัน นายพงศ์เทพตอบว่า ต้องดูความจริงใจของรัฐบาล ว่าอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ หากมีเจตจำนงดังกล่าว ต้องเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งพรรคใหม่โดยเร็วที่สุด

เมื่อถามว่า นายกฯออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองโดยมีการพาดพิงมายังพรรคไทยรักไทย นายพงศ์เทพตอบว่า ส่วนตัวไม่ได้ฟังโดยตรง มีคนมาเล่าให้ฟังบ้าง ซึ่งหลายเรื่องน่าจะว่ากันด้วยกระบวนการทางศาล ให้ศาลตัดสินว่าเป็นไปอย่าที่มีการกล่าวหาหรือไม่ อย่างไรก็ตามคนที่พูดถึงคนอื่นก็ต้องดูภาพของตัวเองด้วย อย่าไปทึกทักเชื่อตามข้อกล่าวหา เรื่องทั้งหมดต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาล อดีตรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทยได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติไว้มากกว่ารัฐบาลชุดนี้

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่คตส.จะทำการอายัดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพงศ์เทพตอบว่า ไม่ทราบรายละเอียด ต้องไปถามคตส. แต่บอกได้ว่าการใช้กฎหมายจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่นั้น ระยะเวลาที่ใช้อาจบอกไม่ได้ แต่หากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จะมีการตรวจสอบได้ว่าอำนาจทั่ใช้ไปถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ตามที่คตส.มีการกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ เช่นเรื่องที่ดินรัชดา ก็ไม่เห็นว่าจะมีการสืบสาวไปถึงคนที่เกี่ยวข้องเลย รวมทั้งคดีอื่นๆด้วย
นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการที่พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวผ่านทีวีโดยระบุว่าอดีตส.ส.พรรคไทยรักไทยมีทางออกในการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งที่จะถึง ว่า ตอนนี้คนเริ่มไม่เชื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ที่นายกฯพูดเช่นนี้เพราะต้องการให้อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทยย้ายไปอยู่พรรคอื่น แต่ยืนยันว่าเราไม่ไป จะต่อสู้กับเผด็จการจนถึงที่สุด สาเหตุที่พวกเราเคลื่อนไหวตอนนี้เพราะต้องการลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่พรรคอื่น แต่ปรากฏว่าก็ยังมีความพยามไม่ให้เราจดทะเบียนตั้งพรรคไทยรักไทย อย่างไรก็ตามฝากบอกพรรคอื่นที่แต่งตัวหวีผมรอต้อนรับอดีตส.ส.ว่าเลิกหวังได้แล้ว

Thursday, April 26, 2007

ร่วมยินดี‘บิ๊กแอ้ด’ยกเลิก ไม่ไป‘ดูไบ’เจอ‘ทักษิณ’ แต่ระวัง-อาจเจอกันที่จีน ปลายพ.ค.นี้ไปกัน‘ทั้งคู่’

http://thaiinsider.info/portal/content/view/3587/57/


เผย “พายัพ” ขอจองเวร-ล้างแค้น คงเพราะคับแค้นใจ แต่แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” กำลังดิ้นรนอย่างหนัก “เอกยุทธ” ชี้เป็นสิ่งดีที่ “บิ๊กแอ้ด” ยกเลิก

ไม่ไปดูไบ เพราะอาจต้องไปเจอกับ “ทักษิณ” และตกเป็นเป้าให้ถูกโจมตี แต่ให้ระวังปลายเดือนหน้าที่จะไปเยือนจีน อาจเจอทีเด็ดต้องพบแม้วได้ เหตุทักษิณถูกเชิญไปพูดในงาน Asian Forum ช่วงคาบเกี่ยวพอดี

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยถึงกรณีนายพายัพ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย และน้องชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า จะประกาศจองเวร ขอเอาคืนทั้งโคตรกับกลุ่มคนที่มากลั่นแกล้งว่า จริงๆ แล้วจะโทษนายพายัพคนเดียวคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลดำเนินการอย่างไม่มีความเสมอภาค เนื่องจากรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณหลายคน กลับมีทีท่าว่าจะไม่ได้ถูกดำเนินการ มีแต่เฉพาะคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้น ที่ถูกดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง การที่นายพายัพออกมาให้สัมภาษณ์แสดงให้เห็นว่า เกิดความคับแค้นใจ และฉายภาพว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังดิ้นรน แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล ว่าจะดำเนินการเรื่องปราบปรามการทุจริตอย่างไร

“อย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า การมาตามหาเรื่องคอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะกฎหมายในอดีตได้ถูกแก้จากผิดให้เป็นถูก การจะจัดการจึงทำได้ยากลำบาก แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอายัดทรัพย์และตรวจเช็คเรื่องการเสียภาษีย้อนหลัง เอาทรัพย์สินเป็นตัวตั้ง และขอดูใบเสียภาษีของแต่ละคน เพื่อพิสูจน์ว่า มีรายได้สอดรับกันหรือไม่ หากแต่ละคนพิสูจน์ได้ก็จบ ถือว่าแฟร์ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน และดำเนินคดี หากดำเนินการเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครมาต่อว่าได้ และนายพายัพหรือใครก็คงมาว่าไม่ได้ว่า มีการเลือกปฏิบัติ”นายเอกยุทธกล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น อย่างตนเคยบอกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสถานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปไหนก็มีเครื่องบินส่วนตัว แถมได้รับการต้อนรับจากหลายๆประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะระงับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณได้ก็คือ การอายัดทรัพย์เพื่อมาพิสูจน์ โดยนำประเด็นเรื่องการเสียภาษีมาเป็นตัวตั้ง เพราะต่างประเทศจะกังวลมาก ในเรื่องที่คนโดนกล่าวหาเรื่องการเลี่ยงภาษี ใครที่กล้ารับประกันจะเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาได้ เรามัวแต่ไปคิดว่า เขามีเงิน 7.3 หมื่นล้านในไทย แต่จริงๆ แล้ว เขามีเงินเป็นแสนล้านบาท และอยู่ในต่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีและตลอดเวลา ส่วนที่มีคนปล่อยข่าวว่า ทักษิณจะไปซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพื่อหากระแสและไม่ให้ตกข่าวเท่านั้น

ส่วนกรณีที่ล่าสุดพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการเดินทางไปดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะมีการจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำธุรกิจของตะวันออกกลางและเอเชีย ระหว่างวันที่ 21-22 พ.ค. ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะไปพบกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากมีภาพออกไปว่า พล.อ.สุรยุทธ์มีการพบปะกับพ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้เกิดความเสียหาย และกลายเป็นเป้าให้ถูกโจมตีได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้พล.อ.สุรยุทธ์เฝ้าระวังด้วยว่า ในระหว่างที่จะเดินทางไปเยือนประเทศจีน ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ตัวพ.ต.ท.ทักษิณก็จะเดินทางไปเยือนจีนเช่นกัน โดยพ.ต.ท.ทักษิณจะไปร่วมงาน Asian Forum และเขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวปาฐกถาด้วย ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกันพอดีกับที่พล.อ.สุรยุทธ์จะเดินทางไปเยือนจีน ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีการจัดฉากให้ไปเจอกันที่นั่นก็ได้

Wednesday, April 25, 2007

'บรรณวิทย์'ร้องคตส. ฟัน“ทักษิณ”โกงสุวรรณภูมิหมื่นล้าน

http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/26/WW10_WW10_news.php?newsid=66128

26 เมษายน พ.ศ. 2550 14:15:00

“บรรณวิทย์-ประพันธ์”บุก คตส.สอบทุจริตอาคารที่พักผู้โดยสาร แฉ “ทักษิณ” สั่งแก้ไขสัญญา พร้อมมอบหลักฐานมัด “แม้ว” มีลายเซ็นสั่งบอร์ด ทำรัฐเสียหายให้กับรัฐกว่า 1 หมื่นล้านบาท


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เมื่อเวลา 09.30 น.พล.ร.อ. บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขปัญหาท่าอากาศสุวรรณภูมิ พร้อม นายประพันธ์ คูณมี ประธานอนุกรรมการตรวจสอบสัญญาก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน หลังตรวจพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น

ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือว่า ได้มีการหารือร่วม กับนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.พร้อมทั้งได้รายงานผลการตรวจสอบโครงการ โดยพบว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีความผิดตั้งแต่การประมูล การพิจารณาแก้ไขแบบ โดยรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขแบบเองโดยไม่ใช้อำนาจของกรรมการบอร์ด และนำแบบที่ได้ไปประมูล พร้อมสั่งให้บอร์ดทำสัญญาจ้างโดยที่ไม่มีอำนาจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัทเอกชนที่ประมูลงานได้ จึงผิดทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ กฎหมายฮั้ว และผิดที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท และที่สำคัญ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เป็นวันเดียวกับที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

นายประพันธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม. ยังมีเจตนาแก้ไขสัญญาที่อัยการตรวจแล้ว เพื่อลดความรับผิดให้ผู้รับเหมา เช่น การประกันภัย การรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่อง เท่ากับลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมา ทำให้รัฐไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ ที่สำคัญโครงการนี้ถือเป็นสัญญาหลักของโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ

“สำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบในโครงการนี้ ประกอบด้วย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกรรมการบอร์ด ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายศรีสุข ที่เป็นคนขีดฆ่าสัญญาความผิดของบริษัทเอกชนทิ้ง หลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย โดยอนุกรรมการฯ ได้มอบหลักฐานทั้งหมดให้กับ คตส. แล้ว ซึ่งในเอกสารมีการลงนามของ พ.ต.ท. ทักษิณ สั่งให้บอร์ดไปจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย เพียงบริษัทเดียว ทั้งๆ ที่ฝ่ายกฎหมายได้มีการทักท้วงแล้วว่าไม่ควรจะมีการแก้ไขสัญญาทำให้รัฐเสียหายแต่ไม่เป็นผล จนทำให้บอร์ดบางคนรับไม่ได้ถึงขั้นลาออก ซึ่งในขณะนั้นแม้แต่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิทธ์ ในฐานะบอร์ดก็ไม่เห็นด้วย ” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.อ. บรรณวิทย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เป็นโมฆะนั้น ได้รับคำแนะนำจาก นายแก้วสรร ว่า ควรแยกคดีแพ่งกับอาญาออกจากกัน โดย คตส. เห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดทางอาญาจริง และจะรับไว้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนคดีแพ่งควรให้ บริษัท การท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทำเรื่องขอเลิกสัญญาไปกับกระทรวงคมนาคมได้เลย ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีหน้าที่โดยตรงในทางแพ่ง ที่จะยกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย รวมถึงการทำสัญญาตรง ทั้งนี้ในฐานะเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ทอท. อยู่แล้ว จึงจะนำเรื่องนี้หารือกับบอร์ด เพื่อให้ดำเนินการตามที่ คตส. เสนอแนะ

ด้าน นายสัก กองแสงเรือง โฆษก คตส. และอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการปล่อยกู้ให้กับประเทศพม่าของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือ ธสน. เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุกรรมการยังไม่ได้สรุปผลการตรวจสอบ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบวงเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านบาท หลังพบว่าสัญญาสุดท้ายที่ทำร่วมกันวงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งกรอบเริ่มต้นอยู่ที่ 3,000 ล้านบาทว่าเพิ่มจากสาเหตุใดและอยู่ในหลักการเดิมที่เคยตกลงไว้หรือไม่ นอกจากนี้อนุกรรมการจะพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับกิจการโทรคมนาคมด้วยหรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่ในกรอบแรกที่คุยกัน ส่วนจะมีการผลักดันเป็นพิเศษจากฝ่ายการเมืองในเรื่องกิจการโทรคมนาคมหรือไม่อนุกรรมการยังไม่ได้สรุป จึงไม่ขอให้ความเห็นเพราะอาจเกิดความเสียหาย

Thursday, April 12, 2007

หวยบนดินห้ามนิรโทษกรรม รบ.ชุดเก่า

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124053&NewsType=1&Template=1

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 เม.ย. ที่กระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัมมาร สยามวาลา และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมทั้งหมด 4 คน เข้าพบเพื่อผลักดันให้กระทรวงการคลัง นำกฎหมายการขายหวยบนดิน เข้าสู่การประชุม สนช.โดยเร็วว่า ข้อเสนอของสนช.ทั้งหมด เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ซึ่งตนจะพิจารณารายละเอียด ร่างกฎหมายที่กระทรวงการคลัง ดำเนินการให้ชัดเจน และรอบคอบ ก่อนนำเสนอให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดทั้งหมด รวมถึงข้อเสนอของสนช.ด้วย เพราะมีทางเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป ในหลายแนวทาง โดยยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศ ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง แต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยก่อนหน้านี้ มีสมาชิกของ สนช. เป็นจำนวนมาก ที่เห็นด้วยให้มีหวยบนดิน พร้อมเสนอแนวทางต่าง ๆ ให้พิจารณา โดยเฉพาะการให้นำหวยบนดิน เข้ามาตรา 22 ของกฎหมายสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2517 ที่กำหนดให้จัดสรรเงิน 60% ที่ได้จากการขายหวย เป็นเงินรางวัล พร้อมจัดสรรเงิน 28% นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ และอีก 12% ให้จัดสรรเป็นค่าบริหารจัดการ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายสำนักงานสลากฯ แต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้การเดินหน้า ในเรื่องนี้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการนิรโทษกรรม ให้กับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา.

สมัคร-ดุสิต เจอคุก 24 เดือน

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124054&NewsType=1&Template=1

ศาลไม่รอลงอาญาคดีหมิ่น สามารถ

สมัคร-ดุสิต เจอศาลสั่งจำคุกคนละ 24 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ออกรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' กับ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' จ้อ มีผู้รับเหมาถอยบีเอ็มป้ายแดงให้ ศาลระบุเหตุผลสั่งจำคุกเด็ดขาด 'ชมพู่' เคยหมิ่นคนอื่นมาหลายครั้งให้โอกาสกลับตัวมาตลอด แต่ยังทำผิดซ้ำซากอีก '2 คู่หู' ใช้เงินสดคนละ 2 แสนประกันตัวไป ด้าน 'สามารถ' ดีใจสังคมได้ทราบเรื่องจริง แจงทั้งคู่เตรียมเจอ 'เด้งสอง' คดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายร้อยล้านอีกเร็ว ๆ นี้

ที่ห้องพิจารณาคดี 34 ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่าระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' และรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยวันที่ 12 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า 'มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯ ซีรีส์ 7 โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้' ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน

ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 2549 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพ มหานคร 10 โครงการ มันกินกัน 12-13 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ในวันที่ 17 ม.ค. 2549 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า 'ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเปก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่าใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง' และข้อความอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวง-เขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน

การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่า โจทก์ เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่า ผู้บริหารกรุงเทพมหานครคือโจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่ามีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่าง ๆ นอกจากนี้โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเอง โดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า โครงการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ภายหลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราช ทัณฑ์ได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมไว้ในห้องพิจารณาคดีที่ 15 ระหว่างนี้นายสมัครกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ต้องยื่นอุทธรณ์แน่นอน ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ระหว่างอุทธรณ์คดีโดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ปรึกษา ผู้ว่าฯ กทม. อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.โจทก์คดีนี้กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้พิสูจน์ให้สังคมทราบว่าตนไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกทั้งสองกล่าวหา นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นฟ้องทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาทด้วย คาดอีกไม่นาน ศาลจะมีคำพิพากษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป.

Monday, March 26, 2007

หญิงอ้อ"เครียดยื่น5ล้านประกันตัว!

อัยการฟ้องแล้ว "หญิงอ้อ-บรรณพจน์-เลขาฯคนสนิท" ฐานร่วมกันเลี่ยงภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ นัดตรวจสอบพยานหลักฐาน 14 พ.ค.นี้ "เมียอดีตนายกฯ"เข้ารายงานตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังฝืนยิ้มให้กับม็อบที่มาให้กำลังใจ พร้อมยื่น 5 ล้านประกันตัว ศาลสั่งห้ามสัมภาษณ์ ฝ่าฝืนอาจสั่งถอนประกัน ส่วนม็อบเชียร์ไม่วุ่นวาย ทนายยันไม่หนักใจเตรียมตั้งทีม ก.ม.สู้คดี คตส.สุดทน 2 รมต.เกียร์ว่าง ออกหนังสือเรียก 'อารีย์-ฉลองภพ'แจงที่ประชุมใหญ่ 2 เม.ย.นี้ ขู่เบี้ยวเจอคุกแน่ 'สัก' สุดเอือมประสานนายกฯแล้วไม่ได้เรื่องฉุดงาน คตส.อืด ลั่นเลิกพึ่ง สุรยุทธ์' พร้อมจัดคิว 'โอ๊ค-เอม' ตามรอย 'หญิงอ้อ' อนุหุ้นเสนอฟันอาทิตย์หน้า ขณะที่ปัญหาคิงเพาเวอร์ 'สรรเสริญ' เผย ต้องใช้หลักนิติฯ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์แก้ 'ทอท.' ยันส่งเอกสารให้อัยการสัปดาห์นี้ ก่อนแจ้งดิวตี้ฟรีอย่างเป็นทางการ 'กัลยา' ระบุรัฐบาลต้องมีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นทำให้การทำงานที่ผ่านมาสูญเปล่า
เกี่ยวกับปัญหาทุจริตโครงการต่าง ๆ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยล่าสุดคดีหลบเลี่ยงภาษีโอนขายหุ้น บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ศาลมีความเห็นสั่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชาย และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัว ในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร โดยเท็จ โดยฉ้อโกง และโดยอุบายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) และร่วมกันจงใจแสดงข้อความหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จะต้องเดินทางไปแสดงตัวที่ฝ่ายอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 วันที่ 26 มี.ค.นี้ ตามหมายเรียก โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ทั้ง 3 จะเดินทางไปศาล เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งได้เตรียมเอกสารขอยื่นประกันตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ทัพสื่อมวลชนปักหลักรอทำข่าว
ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีใหญ่ที่ประชาชนให้ความสนใจ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. วันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพดล ปัทมะ ทนายความตระกูลชินวัตร ได้เดินทางมารอรับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ พี่ชายต่างมารดา และนางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัว ตามที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องคดีร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโอนหุ้นบริษัทชินฯ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่มารอปักหลักทำข่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณศาลฯ กว่า 100 นาย

หญิงอ้อเครียดฝืนยิ้มให้ม็อบเชียร์
กระทั่งเวลา 09.30 น. คุณหญิงพจมาน ได้เดินทางมาถึงโดยรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 สีดำ ทะเบียน สว 1314 กรุงเทพมหานคร สวมชุดผ้าไหมสีเหลือง สีหน้าเครียด โดยพยายามฝืนยิ้มให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 20 คน ที่มาถือป้ายแสดงข้อความให้กำลังใจ พร้อมดอกกุหลาบสีแดงรอต้อนรับ โดยมีนางดารณี กฤตบุญญาลัย ไฮโซชื่อดัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมน้องเขย พ.ต.ท. ทักษิณ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คนสนิท และบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งเมื่อคุณหญิงพจมานลงจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ รปภ. ต้องตั้งแถวเป็นแนวยาว ตั้งแต่เชิงบันไดทางขึ้น ไปจนถึงห้องรับรอง ชั้น 2 ภายในอาคารศาลฯเพื่อป้องกันความวุ่นวายจากผู้ที่มาให้กำลังใจ และผู้สื่อข่าว-ช่างภาพที่ตรงรุมล้อมสัมภาษณ์

อัยการหอบคำฟ้องยื่นศาล
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายเศกสรรค์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ นายนันทศักดิ์ พูลสุข รองอธิบดีอัยการฯ และคณะทำงานได้นำคำฟ้องจำนวน 12 หน้า มายื่นฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งคำฟ้องได้ลงนาม นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยใช้กลอุบาย ตามประมวลรัษฎากร ม.37 (2) และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร, ตามประมวลรัษฎากร ม.37 (1) ประกอบ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 ม.14 และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ ป.รัษฎากร พ.ศ. 2481 ม.2,3 และประมวลกฎหมายอาญา ม.83, 91 และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.อาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2526 ม.4

นัดสอบคู่ความ 14 พ.ค.นี้
สรุปได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยให้ถ้อยคำเท็จและโดยการฉ้อโกง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากร และเงินเพิ่มจำนวน 546,120,000 บาทโดย คตส. ตรวจสอบมูลคดีแล้ว ต่อมาวันที่ 5 ม.ค. 50 คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ คตส.จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทั้ง 3 ทราบโดยชอบแล้ว และในการชี้แจงจำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ คตส.พิจารณาไต่สวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงมีมติว่าจำเลย ทั้ง 3 กระทำผิดตามข้อกล่าวหาแต่เป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย ทั้งนี้ศาลได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ อ.1149/2550 และสอบคำให้การจำเลยทั้ง 3 ในเบื้องต้น โดยจำเลยทั้ง 3 ยืนยันให้การปฏิเสธ โดยศาลจะนัดคู่ความตรวจสอบพยานหลักฐานในวันที่ 14 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.

Thursday, January 18, 2007

สื่อฮ่องกงแฉ 'ทักษิณ' จ้างบ.ล็อบบี้มะกัน

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=148905

19 มกราคม 2550

ฮ่องกง - หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกง นำเสนอข่าวหน้าหนึ่งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้ว่าจ้างบริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส บริษัทล็อบบี้ของสหรัฐ ซึ่งมีรัฐบาลหลายประเทศ รวมทั้ง อินเดีย กาตาร์ และไต้หวันเป็นลูกค้า

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อสิ่งพิมพ์ฮ่องกง ซึ่งไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข่าวระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้พบปะหารือกับนักล็อบบี้ของบริษัทดังกล่าว ที่ฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ด้านบาร์เบอร์ กริฟฟิธ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในวอชิงตัน ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นในรายงานดังกล่าว ทั้งบนหน้าเวบไซต์ของบริษัท ก็ไม่มีการระบุชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ในรายชื่อลูกค้าของบริษัท ที่รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่างซิตี้กรุ๊ป และบริษัทรถไฟแห่งชาติแคนาดา

บริษัทล็อบบี้แห่งนี้ มีนายเอ็ด โรเจอร์ส ซึ่งเคยทำงานที่ทำเนียบขาวสมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทั้งยังมีนายโรเบิร์ต แบล็ควิลล์ อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐร่วมทำงานอยู่ด้วย

Wednesday, January 17, 2007

อดีตทูตอาวุโสจวก"พ.ต.ท.ทักษิณ"นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม

http://www.innnews.co.th/around.php?nid=17618

หนังสือพิมพ์ Today ซึ่งเป็นสื่อของสิงคโปร์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2550 ได้รายงานข่าวที่มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า นายกีชอร์ มาห์บูบานิ อดีตนักการทูตอาวุโส และผู้อำนวยการโรงเรียนลี กวน ยิว ซึ่งพูด ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นธรรมกับสิงคโปร์ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิงคโปร์ไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเมตตาต่อสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ก็ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

Tuesday, January 16, 2007

ใช่...คนไทยก็กำลังบอกทักษิณ"Enough is enough"

http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=148134

คำว่า "Enough is enough" ที่ทักษิณ ชินวัตร พูดในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันจันทร์ จากสิงคโปร์ นั้นถ้าแปลจากความหมายของเจ้าตัวเองก็คือการขอความเห็นใจ และความสงสารจากคนอื่น

แปลว่าทำอะไรมามากพอแล้ว ได้เวลาจะหยุดแล้ว

แต่ถ้าประธาน คมช. พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หรือนายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนอุทานวลี "Enough is enough" กับทักษิณ ละก้อ ความหมายจะออกไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง

แปลว่านายกฯ คนปัจจุบันกำลังบอกกับอดีตนายกฯ ว่า "พูดจาสร้างกระแสคลื่นใต้น้ำในประเทศจากข้างนอกพอแล้ว หยุดการกระทำอันไม่พึงประสงค์เช่นนั้นได้แล้ว"

ถ้าคำนี้มาจากประชาชนคนไทยต่อทักษิณ ก็แปลว่าคนไทยต้องการให้ทักษิณ หยุดทำตัวเป็นนกขมิ้นที่ทัวร์อย่างเศรษฐี บินไปโน่นมานี่เพื่อจะทำตัวเป็นผู้ยั่วยุให้บ้านเมืองไทยวุ่นวายใจไม่หยุด

ถ้ารัฐบาลไทยเรียกทูตสิงคโปร์ ประจำกรุงเทพฯ มาแล้วก็บอกว่ารัฐบาลของเขาควรจะต้องระงับการกระทำอันไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลไทยด้วยการยอมให้ทักษิณไปทำอะไรๆ ที่ก่อกวนรัฐบาลไทยอย่างนั้น และลงท้ายด้วยการกระซิบกับทูตสิงคโปร์ว่า "Enough is enough" ก็แปลว่าไทยเรากำลังใช้การทูตแบบขึงขังอย่างผู้มีจุดยืนชัดเจนขึ้น

สรุปว่าการที่ทักษิณ ลั่นคำว่า "Enough is enough" ในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น วันก่อนนั้นไม่ได้สะท้อนว่าเขาต้องการจะก้าวลงจากเวทีการเมืองหรือต้องการจะทำตัวเป็น "ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง" ที่จะไม่เป็นตัวการที่จะก่อความวุ่นวายในประเทศอีกต่อไป

เพราะคำว่า "enough" ของทักษิณนั้นไม่ได้แปลว่า "enough" ที่มีความหมายว่าพอจริงๆ...หากแต่เป็นการเล่นคำฝรั่งที่ตัวเองก็ไม่ได้สันทัดอะไรมากมายนัก

ทักษิณต้องการหลอกฝรั่งคนสัมภาษณ์ว่ากำลังจะ "วางมือ" จากการเมืองไทย แต่คนไทยที่ได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ที่ทักษิณทั้งแขวะ และต่อว่าต่อขานอีกทั้งยังอ้างว่าเคยมีความพยายามจะลอบสังหารเขาถึงสามครั้งสามคราก่อนถูกปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทักษิณ ก็ยังคือทักษิณ คนเดิม

คือพูดอะไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนเดิม...คือยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น...ปากบอกว่าเลิก แต่ใจยังทุรนร่านต้องการจะกลับมามีอำนาจ...ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องการเป็นนายกฯ อีก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังแค้นเคืองไม่หาย ต้องการจะเอาอำนาจ อิทธิพล และบารมีกลับคืนมาเป็นของตน และพรรคพวกอีก

เพราะถ้าทักษิณ ต้องการวางมือทางการเมืองจริงๆ เขาก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ด้วยการบอกผ่าน CNN หรือ The Asian Wall Street Journal ที่สิงคโปร์

จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองส่งผ่านทนายความให้คนไทยได้อ่านนั้นไม่ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะ "วางมือทางการเมือง" แต่ประการใด มีแต่ลีลาของการพยายามหาเสียง และขอคะแนนความนิยมจากคนไทยด้วยการแก้ไขทั่วไปมากกว่า

ภาพทางจอซีเอ็นเอ็น ระหว่างสัมภาษณ์ทักษิณ นั้น มีโลโก้ CNN Exclusive Interview เพื่อแจ้งว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษ และใต้ภาพทักษิณเขียนเป็นประโยคใหญ่อ่านได้ชัดๆ ว่า

Thai PM ousted amid charges of corruption" ซึ่งแปลว่า "นายกฯไทยที่ถูกขับไล่ท่ามกลางข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน"

นักข่าวฝรั่งอาจจะไม่ได้ทำการบ้านพอ หรือซีเอ็นเอ็นอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอ ที่จะมีการถามในสิ่งที่ควรจะถามทักษิณว่า
ที่เขาถูกขับไล่นั้นเพราะมีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลระดับสูงจนประชาชนคนไทยทนไม่ไหวต้องออกมาตะโกน

"Enough is enough" ไม่ใช่หรือ

Monday, January 15, 2007

คุณทักษิณอยู่ในเงามืดของ"คนลักษณ์ที่สาม"

Permalink : http://www.oknation.net/blog/adisak
Post by อดิศักดิ์

13 สิงหาคม 49

อาการเบื่อๆ อยากๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงการตรวจราชการภาคอีสาน มักจะเกิดขึ้นอย่างนี้แทบทุกครั้งเมื่ออยู่ในช่วงถูกแรงกดดันหนักๆ และมักจะ "เป็นเอามาก" ในช่วงฤดูติดสัดหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง นับตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาสู่วงการการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ลองสังเกตให้ดีว่าอาการแบบนี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว จนน่าจะกลายเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ "นักแสดง" ในการหาเสียงของคุณทักษิณ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวบ้านในระดับล่างๆ ที่คุณทักษิณรู้ว่ามักจะมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนที่ถูกรังแก

จึงไม่ควรจะไปให้น้ำหนักเชื่อถือในคำพูดของคุณทักษิณใดๆ ให้เสียเวลาเปล่า ว่าจะสู้หรือจะถอยเสียสละเพื่อประเทศชาติ

เพราะที่แน่ๆ คุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยน ในการคิดถึงตัวเองมากกว่าคิดถึงประเทศชาติ หลังจากถูกกดดันมากๆ ทั้งตัวเองและครอบครัว ได้ทำให้คุณทักษิณจำเป็นต้องคิดและพูดออกมาดังๆ ไปทั่วว่า หลังเลือกตั้งจะเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อลดแรงกดดันมากกว่าอยากจะทำจริงๆ

น่าจะเป็นการพูดแบบหลอกๆ มากกว่า เพราะยังอยากจะทำตัวเป็น "อีแอบ" อยู่หลังม่านทำเนียบเพื่อชักใยนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้ทำตามความต้องการของตัวเองที่มีความวิตกกังวลและความกลัวหลายอย่าง เช่น กลัวถูกเช็คบิลย้อนหลัง กลัวถูกยึดทรัพย์ เป็นต้น

เพราะทั้งหมดคือ "การแสดง" บทบาทหนึ่งของคุณทักษิณที่ถูกเขียนบทไว้ล่วงหน้าก่อนตัดสินใจทำหรือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งการเดินสายรอบใหม่ เป้าหมายตุนคะแนนสงสารไว้เพื่อจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายกับประเทศมากขนาดไหน

ตอนเช้าๆ เจอนักข่าว คุณทักษิณจึงมักจะออกลีลาบ่นปนตัดพ้อแถมด้วยคำพูดเหน็บแนมเสียดสี โทษสื่อไม่ให้ความเป็นธรรม แม้กระทั่งหายใจยังต้องระวังกลัวจะถูกจับผิด โทษคนอื่นว่าเอาแต่จ้องจับผิดจนทำงานไม่ได้ ขอร้องให้สมานฉันท์เพื่อชาติ อยากจะเว้นวรรคเต็มแก่แล้ว

ตอนบ่าย-เย็นเมื่อออกพบปะชาวบ้านที่มีทั้งถูกจัดฉากเกณฑ์มาต้อนรับและเดินทางมาด้วยใจจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น ผู้กำกับการแสดงจะเขียนบทให้คุณทักษิณปราศรัยในทำนองเดิมๆ ปลุกเร้าว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่เห็นใจคนจนเท่านี้ แล้วเริ่มทำเสียงอ้อนว่าถูกสื่อและพวกเสียประโยชน์รังแก ไม่อยากทำงานต่อไปแล้ว อุตส่าห์เสียสละความสุขมาทำงานแต่กลับถูกโจมตี ทำให้ไม่อยากจะสู้ต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาเห็นชาวบ้านจำนวนมากมาฟังจะไม่ยอมแพ้ไม่เว้นวรรคอีกแล้ว

จากนั้นจะถึงฉากสำคัญทุกครั้งเมื่อคุณทักษิณเดินสายปราศรัยต่างจังหวัด คนเฒ่าคนแก่จะโผมากอดเอวคุณทักษิณจับมือเขย่าๆ ขอให้สู้ต่อไป

เมื่อคุณทักษิณถูกกอดหอมแก้มจากผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะพยายามแสดงสีหน้าฉีกยิ้มให้กว้างๆ เข้าไว้ เพราะผู้กำกับบอกบทมาแล้วว่าภาพเชิงบวกอย่างนี้จะไปปรากฏในสื่อโทรทัศน์ทุกช่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณทักษิณดูติดดินและน่าเห็นใจมากขึ้น คะแนนนิยมจะขยับขึ้นในชนบทมากกว่าการลดลงในเขตเมืองทุกครั้ง

ตกค่ำยามดึกสังสรรค์ในวงคนแวดล้อม อาการของคุณทักษิณจะกลับกลายไปเป็นอีกคนอย่างไม่น่าเชื่อในหูและสายตา

คุยโม้คุยโตไทยคำ-ฝรั่งสองคำถึงวิชั่นหลุดโลก คำพูดคำจามักจะมีถ้อยคำหยามคู่แข่งขันทางการเมืองว่าไม่ได้อยู่ในสายตา ออกอาการเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเหลือล้นว่าไม่มีใครฉลาดเท่าอีกแล้ว

บางทีมีคำพูดแรงๆ พาดพิงไปถึงบุคคลระดับสูงของสังคมที่มีน้ำเสียงเย้ยหยันถากถางแกมอิจฉา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหลายๆ คน ที่เป็นความใฝ่ฝันเดิมของคุณทักษิณที่อยากจะเป็น "รัฐบุรุษ" เช่นกัน

สังคมไทยที่ยังพอมีผู้มีปัญญาหลงเหลืออยู่ คงจะมองเห็นพฤติกรรมอาการแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ทวีความหนักข้อขึ้นทุกวัน จึงเกิดความวิตกกังวลไปทั่วว่าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร หากคุณทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง

แม้ว่ากระบวนการตุลาการภิวัตน์จะสะสางปัญหาได้ระดับหนึ่งในการลงโทษคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 คนถึงขั้นจำคุก แล้วสรรหาบุคคลที่ได้รับการยอมรับ 10 คนส่งให้วุฒิสภาเลือกเป็น กกต.ชุดใหม่

แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงแบ่งประเทศกันแล้ว ระหว่างคนอีสาน-เหนือชอบ กับคนกรุงเทพฯ-ใต้เกลียดคุณทักษิณ คงไม่มีทางหมดลงไปอย่างแน่นอนหลังเลือกตั้ง

เพราะ กกต.ชุดใหม่คงจะทำหน้าที่อำนวยการเลือกตั้งให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรมได้เท่านั้น แต่จะยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมรุนแรงขึ้นไปอีก

เพราะกลุ่มเชียร์คุณทักษิณได้ถูกอำนาจตุลาการลงโทษไปแล้วแต่กำลังซุ่มซ่อนหาทางตีโต้คืนในเร็ววัน เพื่อรักษาอำนาจให้คุณทักษิณที่แสดงตัวว่าถูกรังแกจากอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ

ผมจึงกลับไปอ่านหนังสือ "เอ็นเนียแกรม : ศาสตร์เพื่อความเข้าใจตนเองและผู้อื่น" ที่คุณวาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ The Enneagram : Understanding Yourself and the Other in Your Life ที่ว่าด้วยการอธิบายบุคลิกลักษณะและการแสดงออกของมนุษย์ที่มีอยู่ 9 ลักษณ์

ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของคุณทักษิณในช่วงชีวิตธุรกิจและการเข้าสู่ชีวิตการเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ถูก "รู้ทัน" จับผิดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากขายหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้านบาท ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์

น่าจะสอดคล้องกับความเป็นลักษณ์ที่สามมากที่สุดคือ นักแสดง (The Performer) ที่มักจะสร้างผลงานและความสำเร็จเพื่อให้เป็นที่รัก ชอบการแข่งขัน ยึดติดกับภาพลักษณ์ของผู้ชนะ และการเปรียบเทียบสถานะกับคนอื่น มีบุคลิกภายนอกที่เป็นเลิศ บ้างาน ชอบทำงานแข่งกับเวลา

คนลักษณ์ที่สามมักสับสนระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับบทบาทในหน้าที่การงาน จนอาจจะดูมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นจริง

เขามักจะพยายามปรับเปลี่ยนบุคลิกและการแสดงตนเหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เพื่อสร้างคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการทำงานให้สำเร็จ จดจ่อกับงานหรือปฏิกิริยาของคนอื่นต่องานของตนเอง ปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติได้ ก่อนที่จะใช้ความคิดตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่คนลักษณ์นี้มักจะมีปัญหารุนแรงที่ออกอาการทุกข์ทรมานจากนิสัยการหลอกตัวเองและผู้อื่น ด้วยการแสดงภาพลักษณ์ที่ทำให้ตนเองเป็นที่นับถือ เช่น คนบ้างาน เป็นต้น

เขาจะดูเป็นคนสมัยใหม่อย่างมาก มุ่งมั่นในความสำเร็จ มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีชีวิตชีวาและชอบการแข่งขัน ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี ไม่มีวี่แววความทุกข์และอาจไม่เคยรู้ตัวเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่าเขาไม่ได้เข้าถึงตัวตนแท้จริงภายใน

แต่คนลักษณ์นี้มักอิงตัวเองอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ วัดคุณค่าตัวเองด้วยจำนวนรายได้ต่อปี เขาอาจรู้สึกเบื่อแทบตายกับงานที่ทำอยู่ แต่ตำแหน่งที่หรูหราประทับใจ สามารถชดเชยความรู้สึกนี้ได้

ในส่วนของความสามารถพิเศษในการปรับตัวของเขาจะเป็นทั้งคุณและโทษในตัว

ที่เป็นคุณคือ เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้อยู่ภายใต้ภาวะความกดดัน แต่หากมีมากเกินไปในแบบที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะกลับกลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณถูกต่อต้าน คุณทักษิณยิ่งดันทุรังหนักข้อ ทำให้สังคมแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ทุกวันนี้

คนลักษณ์นี้ที่เป็น "นักแสดง" ยังมีความสามารถในการหยิบฉวยโอกาสใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ไปตามบทบาทใหม่ จะทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

นอกจากนี้ คนลักษณ์ที่สามมักจะต้องการเป็นผู้มีอำนาจ

ด้านดีคือ จะเป็นแบบอย่างของผู้บังคับบัญชาที่อุทิศตัวและเป็นศูนย์รวมของคนอื่น เขาทุ่มเทตัวเองกับงานอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น สามารถจัดการปัญหายุ่งๆ เฉพาะหน้าได้ดีด้วยทัศนคติที่ว่า ทำไปก่อน ทุกอย่างแก้ไขได้ตอนหลัง สามารถกระตุ้นคนอื่นให้กล้าทำ กล้าเสี่ยง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ได้

แต่ด้านไม่ดีของความต้องการมีอำนาจ คือ มักจะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเข้าควบคุม ลัดขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งจะส่งผลให้งานมีคุณภาพลดลง

น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับคุณทักษิณที่ปล่อยให้ด้านมืดของความเป็นคนลักษณ์ที่สามเข้าครอบงำจนหมดสิ้นกลบด้านดีของตัวตนคุณทักษิณไปจนหมด

ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า ถ้าหากคนในลักษณ์ที่สามอย่างที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะมีระดับในทางบวกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จะสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ เจรจายื่นข้อเสนอได้ดี เป็นผู้สนับสนุนหรือผลักดันสิ่งต่างๆ ได้ดี เป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จ

แต่อาการป่วยทางจิตของคุณทักษิณกำลังอยู่ในขั้นรุนแรงแบบเดียวกับที่อาจารย์หมอประเวศ วะสีบอกว่าป่วยเป็น "โรคสมองตกบ่วง" ที่มีอาการเก็บกดจากความดันทุรังของตัวเอง หลงยึดติดกับอำนาจที่เป็นหัวโขน การปฏิเสธความจริงจากฝ่ายตรงกันข้าม การหลงตัวเองว่าประสบความสำเร็จมากจนไม่ต้องฟังใครทำให้หลงทางกู่ไม่กลับ การโทษแต่ผู้อื่นไม่เคยโทษตัวเองว่าเป็นต้นตอของปัญหา เป็นต้น ได้ทำให้ด้านดีของคนลักษณ์ที่สามที่มีความมุ่งมั่น บ้างาน ชอบแข่งขัน ถูกทำลายไปจนสิ้น

สังคมไทยจึงจำเป็นต้องหาทางให้ "ผู้นำที่ป่วยทางจิต" ลงจากอำนาจโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นอันตรายจะเกิดขึ้นจากความพยายามของเขาที่ทุ่มเทเพื่อเอาชนะทุกคนในทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นมาจากด้านมืดของการเป็นคนลักษณ์ที่สามของคุณทักษิณ

รองนายกฯสิงคโปร์พบกับทักษิณ...ภาษาการทูตเรียกว่า"หยาบคาย"

กรุงเทพธุรกิจ
16 มกราคม 2550

จะเป็นเรื่อง "ทางการ" หรือ "ไม่ทางการ" ก็ตาม หากรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส.จายากูมาร์ ให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบเพื่อ "ปรึกษาหารือกัน" ระหว่างที่อดีตนายกฯ ไทยคนนี้อยู่สิงคโปร์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อรัฐบาลไทย อย่างไม่ต้องสงสัย

สะท้อนด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์ "แคร์" ต่อความรู้สึกของคนไทยในกรณีเทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลของทักษิณ จนกลายเป็น "วิกฤติการเมือง" ของไทยมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม บอกนักข่าวที่ เซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนว่า "เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ เพราะทางสิงคโปร์ได้เกริ่นให้นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ของไทยทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป และบอกว่าการพบกันจะไม่เป็นทางการ..."

แน่นอนว่ารองนายกฯ ของประเทศหนึ่งจะพบกับอดีตนายกฯ ของอีกประเทศหนึ่ง "อย่างเป็นทางการ" ย่อมจะไม่มี

ถ้าทักษิณ พบรองนายกฯ สิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" ซิจะเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ เพราะอดีตผู้นำประเทศไหนจะไปพบกับผู้นำของประเทศอื่นอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องอะไรได้เล่า

ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณพบกับรองนายกฯ ของสิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" หรือไม่...แต่อยู่ที่ว่า "พบกัน" ทำไม

หาก ทักษิณ เป็นคนไร้มารยาทการทูต ไม่สนใจกติกาสากลว่าด้วยประเพณีการติดต่อระหว่างประเทศ เพราะมี "วาระซ่อนเร้น" เฉพาะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่รัฐบาลสิงคโปร์ ควรจะต้องสำนึกในความละเอียดอ่อนของการที่ปล่อยให้ทักษิณ "เพ่นพ่าน" กับระดับผู้นำของเขา เพราะนั่นย่อมแสดงว่าระดับรัฐบาลสิงคโปร์ ยังไม่สำนึกว่าได้สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์กับไทยเพราะเรื่องเทมาเส็ก และชินคอร์ป อย่างไรเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ

สิงคโปร์ ประเมินการเมืองไทยช่วงทักษิณเป็นใหญ่ผิดพลาด จนกลายเป็นวิกฤติสำหรับความน่าเชื่อถือของตัวเอง แล้วยังไม่สำเหนียกว่าจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและอย่างจริงจัง เพื่อเอาตัวเองรอดจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกกับกฎหมายไทยที่ผูกพันกับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทุกขั้นตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกี่ยวกับเรื่องเทมาเส็ก กับ ชินคอร์ป นั้น ผิดแล้วผิดอีก พลาดแล้วพลาดซ้ำเหมือนจงใจจะไม่แก้ไขไม่เยียวยาปัญหานี้กับไทยเลยแม้แต่น้อย

ทักษิณ ในฐานะนักท่องเที่ยวในสิงคโปร์ กับ ทักษิณ ในฐานะผู้ขอเข้าพบรองนายกฯ สิงคโปร์ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...และรัฐบาลไทยจะต้องแสดงจุดยืนที่ไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ในเรื่องนี้ อย่างชัดเจน

ต้องไม่ลืมว่าทักษิณ กับ เทมาเส็ก (ที่อยู่ใต้กระทรวงการคลัง ของรัฐบาลสิงคโปร์และมีเมียนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด) นั้น มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ และเทมาเส็กวันนี้กำลังมีปัญหาหลายด้านในประเทศไทย การที่รองนายกฯสิงคโปร์ พบปะกับอดีตผู้นำไทยเสมือนหนึ่งทุกอย่างเป็นปกตินั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

สังเกตไหมครับว่าตลอดเวลาที่ทักษิณอยู่ปักกิ่งนั้น ไม่เคยมีข่าวปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ของจีน จะยอมให้ทักษิณเข้าพบเลยแม้แต่น้อย

นี่คือ ความแตกต่างของท่าทีของมิตรประเทศที่มีระดับความจริงใจและการเคารพในความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดแจ้ง

สิงคโปร์ไม่เข้าใจหรือว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไทยจึงยกเลิก "หนังสือเดินทางสีแดง" ของทักษิณ และของเมีย

สิงคโปร์ ไม่รู้จักคำว่า "เกรงใจ" ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่า "เสียมารยาททางการทูต" และ "ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ" ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องได้รับคำประท้วงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศไทย

ข่าวล่าสุดบอกว่าทักษิณบินออกจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์...จะไปขอพบรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนไหนอีก เพื่อ "ยังทำตัวอยู่ในข่าว" หรือไม่ ต้องคอยดู...แต่เชื่อเถอะว่า มารยาททางการทูตของญี่ปุ่นนั้นเหนือชั้นกว่าสิงคโปร์มากมายหลายขุมนัก

เพราะวิถีการทูตของจีนและญี่ปุ่นนั้น เขายึดหลักของความถูกต้องชอบธรรมเป็นเกณฑ์ ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ "หลับหูหลับตาทำมาหากิน" อย่างเดียว