Thursday, November 29, 2007

ปปช.ตั้ง 3อนุสอบ'ทักษิณ-สุริยะ-ศรีสุข' ทุจริตสุวรรณภูมิ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/29/WW03_0301_news.php?newsid=207140

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

"กล้านรงค์" เผยปปช.ตั้งอนุสอบ"ทักษิณ"ทุจริตประมูลจ้างเหมา รปภ. "สุริยะ"ทุจริตตั้งร้านค้าปลอดภาษี และ"ศรีสุข"ทุจริตประกวดราคาขยายทางสายหลัก 8 เส้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษก กล่าวถึงผลการประชุมป.ป.ช. ว่าที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องที่สำคัญ 3 เรื่อง

คือ 1.กรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) กับพวก ร่วมกันทุจริตในการประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยวิธีพิเศษ โดยมีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

2.กรณีกล่าวหานายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคมกับพวกร่วมกันทุจริตโครงการจัดตั้งร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค และการบริหารกิจการเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

3.กรณีกล่าวหานายศรีสุข จันทรางศุ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวงกับพวกทุจริตเกี่ยวกับการประกวดราคาก่อสร้างเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็นสี่ช่องทางจราจร จำนวน 8 สายทาง โครงการเงินกู้เจบิกโดยมีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

Sunday, July 1, 2007

เว็บไซต์สื่อเมืองผู้ดีรายงาน 'ทักษิณ'อาจถูกส่งกลับดำเนินคดีในไทย

http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/02/WW10_WW10_news.php?newsid=81857

2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เว็บไซต์สื่อเมืองผู้ดีรายงาน 'ทักษิณ'อาจถูกส่งตัวกลับ ถูกดำเนินคดีในไทย หลังตรวจพบการซื้อหุ้นแบบมีลับลมคมใน

เว็บไซต์ timesonline.co.uk รายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถถูกส่งตัวจากอังกฤษมาขึ้นศาลที่ไทยในคดีเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นได้ โดยรายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจว่า การเจรจาซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใกล้จะเสร็จเรียบร้อย

แต่จากการตรวจสอบของหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ไทมส์ พบว่าการตกลงครั้งนี้มีลับลมคมใน โดย 2 สัปดาห์ก่อน บริษัท ยูเคซิล ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งตั้งขึ้น บรรลุข้อตกลงกับผู้บริหารทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้เรื่องการซื้อหุ้น 55 เปอร์เซ็นต์ และเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ทีมอยู่ภายใต้การบริหารเต็มที่ แต่การเทคโอเวอร์ก็เกิดขึ้นในช่วงเดียวที่ประเทศไทยเริ่มดำเนินคดีกับเขา

พ.ต.ท.ทักษิณ ตกลงซื้อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 81 ล้านปอนด์ โดยมีหนี้สินอยู่ 60 ล้านปอนด์ ซึ่งทักษิณจะรับมาทั้งหมด และจะชำระทันที 20 ล้านปอนด์ ในการจะหาเงินมาซื้อทีมในเบื้องต้น ยูเคซิลต้องยืมเงินจากบริษัทโฮลดิ้งในอังกฤษ แต่เงินก้อนนี้มีที่มาจากไหน ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหุ้นอยู่ใน ยูเคซิล โฮลดิ้ง แค่ 5,700 ปอนด์ ซึ่งถ้ามีการซื้อขาย บริษัทนี้ก็จะเป็นเจ้าของทีม ส่วนลูกชายและลูกสาวของเขา 2 คน ถือหุ้นในบริษัทแค่คนละ 280,000 ปอนด์

ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในโฮลดิ้งคือ บริษัท ประไหมสุหรี ที่จดทะเบียนอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน หลังสินทรัพย์บางส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกอายัด บริษัทนี้เข้าซื้อหุ้นในยูเคซิล 25 ล้านปอนด์ ซึ่งดูเหมือนการอัดฉีดเงินเพื่อซื้อทีม เอกสารของที่ปรึกษาทางการเงินของยูเคซิลระบุว่า ประไหมสุหรีควบคุมโดย พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ปัญหาคือเขาคุมบังเหียนบริษัทได้อย่างไร เมื่อเอกสารชี้ว่าปัจจุบันเขาไม่มีหุ้นในบริษัทใดๆ มากนัก

ขณะที่ฝ่ายกฏหมายของเขาก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ ทั้งยังมีข้อมูลว่า ประไหมสุหรีเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่ได้เงินจากการขายหุ้นชินคอร์ป ที่ทางการไทยพยายามติดตามหา และอายัด ยูเคซิล ระบุว่า พวกเขาสามารถใช้เงิน 25 ล้านปอนด์ได้ เพราะอยู่ในธนาคารอังกฤษ หลังออกมาจากประเทศไทยก่อนการอายัด และการโอนเงินก็ถูกตรวจสอบโดย ซีมัวร์ เพียซ นักการธนาคารเพื่อการลงทุนที่ให้คำแนะนำในประเทศไทย เพื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปโดยเรียบร้อยแล้ว

Saturday, June 16, 2007

ต่างชาติชี้รัฐบาลแม้วคอรัปชั่น ชาวกรุงหนุนปุระชัยนั่งนายกฯ

http://www.komchadluek.net/2007/06/17/a001_123144.php?news_id=123144

เอแบคโพลล์สำรวจพบต่างชาติ 59.3 เห็นรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น "สนธิ บุญยรัตกลิน"เป็นบุคคลสำคัญต่อการชี้นำการเมืองไทยมากที่สุด อยากได้"ปุระชัย" เป็นนายกฯคนใหม่

(17 มิ.ย.) ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(The ABAC Social Innovation in Management and Business Analysis)เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่องคนไทยและชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (The ABAC Social Innovation in Management and Business Analysis) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “คนไทยและชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน” โดยสำรวจจากคนไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 1,750 คน ระหว่างวันที่ 13 - 16 มิถุนายน 2550 และชาวต่างชาติจำนวน 558 คน ระหว่างวันที่ 11 - 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา

สำหรับผลสำรวจในกลุ่มคนไทย พบว่า คนไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามถึงบุคคลที่มีนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 46.3 ระบุ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองลงมา คือ ร้อยละ 24.8 ระบุเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 20.5 ระบุ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 16.0 ระบุ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ ร้อยละ 9.7 ระบุอื่นๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ตามลำดับ

และเมื่อสอบถามถึงกลุ่มบุคคลนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 26.2 ระบุเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ร้อยละ 16.7 ระบุ ทหารหรือกองทัพ ร้อยละ 13.6 ระบุ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย ร้อยละ 9.6 ระบุผู้นำม็อบ/ ประชาชนที่ก่อม็อบ PTV ร้อยละ 9.3 ระบุชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 7.5 ระบุ กลุ่ม ส.ส. /กลุ่มนักการเมือง ร้อยละ 6.8 ระบุรัฐบาล และ ร้อยละ 10.9 ระบุอื่นๆ เช่น พรรคประชาธิปัตย์/กลุ่มประชาธิปไตย และม็อบต่อต้านทักษิณ เป็นต้น

เมื่อสอบถามถึงตัวบุคคลที่มีนัยสำคัญชี้นำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยด้านคุณธรรม พบว่า ร้อยละ 46.3 ระบุ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รองลงมาคือร้อยละ 26.7 ระบุ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ร้อยละ 15.9 ระบุ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 7.4 ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 5.1 ระบุ นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 7.8 ระบุอื่นๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ / นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น

ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มบุคคลนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเชิงคุณธรรม พบว่า ร้อยละ 27.5 ระบุเป็นชาวบ้าน และประชาชนทั่วไป รองลงมาคือร้อยละ 24.4 ระบุเป็นพระสงฆ์/ศาสนา ร้อยละ 22.3 ระบุเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ร้อยละ 20.3 ระบุเป็นรัฐบาล ร้อยละ 5.1 ระบุ กลุ่มผู้สนับสนุน พรรคไทยรักไทย ร้อยละ 4.4 ระบุนักวิชาการ/ ครูอาจารย์ และร้อยละ 8.3 ระบุอื่นๆ อาทิ กลุ่ม ส.ส. นักการเมือง และ คตส. เป็นต้น

ประเด็นสำคัญคือ ประชาชนที่ถูกศึกษาเกือบครึ่งหรือร้อยละ 48.6 อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นภายในไม่เกิน 3 เดือนนี้ ร้อยละ 31.6 อยากให้มีการเลือกตั้งภายใน 3 - 6 เดือน และร้อยละ 19.8 อยากให้มีการเลือกตั้งหลังจาก 6 เดือนขึ้นไป

เมื่อสอบถามถึงบุคคลที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในทรรศนะของประชาชน พบว่า ร้อยละ 41.7 ระบุ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองลงมาคือร้อยละ 37.7 ระบุนายอานันท์ ปันยารชุน ร้อยละ 34.6 ระบุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 31.0 ระบุนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ร้อยละ 28.1 ระบุ นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 17.5 ระบุอื่นๆ อาทิ นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

ดร.นพดล กล่าวว่า ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของชาวต่างชาติ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการที่สำรวจพบ คือ

ชาวต่างชาติที่ถูกศึกษาในครั้งนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.4 รับรู้สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ในขณะที่เพียงร้อยละ 14.6 ไม่รับรู้เลย ผลสำรวจพบด้วยว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 เห็นด้วยต่อข้อความที่ว่า รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น ในขณะที่ร้อยละ 7.4 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 33.3 ไม่มีความเห็น

ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ชาวต่างชาติประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.0 เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า การขับไล่ คมช. จะนำไปสู่ความรุนแรงต่อไปในประเทศไทย ในขณะที่ร้อยละ 25.6 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 25.4 ไม่มีความเห็น ส่วนความคิดเห็นต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทยหลังการเลือกตั้งใหม่ พบว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.9 คิดว่าจะทำให้มีเสถียรภาพ ในขณะที่ร้อยละ 12.9 ไม่คิดว่าจะทำให้มีเสถียรภาพ และร้อยละ 19.2 ไม่มีความเห็น

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.9 เห็นว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่เป็นวิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาสถานการณ์การเมืองไทยได้ดีที่สุด ในขณะที่ ร้อยละ 12.1 ไม่คิดว่าเหมาะสม

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 คิดว่า คนไทยจะมีความรักความสามัคคีกันในปีนี้ เพราะ เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / เพราะคิดว่าคนไทยรักความสงบ เพราะคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความสุข และเพราะคิดว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาในจิตใจของคนไทย เป็นต้น ในขณะที่เพียงร้อยละ 18.1 คิดว่าคนไทยคงไม่มีความรักความสามัคคีกัน เพราะมีแต่เหตุการณ์ที่วุ่นวายหลายเรื่อง เช่น ปัญหาการเมือง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่น่าพึงพอใจสำหรับคนไทยคือ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.7 ระบุว่ามีความตั้งใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก ในขณะที่ร้อยละ 4.3 เท่านั้นที่ไม่คิดว่าจะกลับมาเมืองไทยอีก ยิ่งไปกว่านั้น ชาวต่างชาติเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 30.3 ระบุถ้าเกิดใหม่ได้ อยากเกิดมาเป็นคนไทย ในขณะที่ร้อยละ 56.1 ระบุไม่อยาก เพราะพอใจกับเชื้อชาติของตน เพราะสถานการณ์การเมืองไทยและเศรษฐกิจไทยไม่ดี เพราะสังคมไทยยุ่งยากซับซ้อนเข้าใจยาก และเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนเกินไป เป็นต้น และพบด้วยว่าชาวต่างชาติร้อยละ 13.6 ระบุขอคิดดูก่อนเพราะยังไม่แน่ใจว่าถ้าเลือกเกิดใหม่ได้จะเลือกเกิดเป็นคนไทยหรือไม่

ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับคนไทยแล้ว บุคคลนัยสำคัญต่อการเมืองไทยขณะนี้คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ถ้ากล่าวถึงบุคคลนัยสำคัญต่อสังคมคุณธรรมของประเทศขณะนี้คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในขณะที่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย และประชาชนทั่วไปคือกลุ่มบุคคลที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ โดยประชาชนคนไทยอยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเพื่อเป็นทางออกของสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน และ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ กำลังถูกมองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ภายใต้ข้อจำกัดของตัวเลือกทางการเมืองภายหลังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมือง 111 แกนนำพรรคไทยรักไทย

ในขณะที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่เป็นทางออกที่ดีที่สุดเช่นกัน และหวังว่าคนไทยจะรักและสามัคคีกันในปีนี้เพราะรู้ว่าปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคิดว่าคนไทยรักความสงบ โดยส่วนใหญ่อยากกลับมาเมืองไทยอีก และเกือบ 1 ใน 3 ระบุถ้าเลือกเกิดใหม่ได้อยากเกิดมาเป็นคนไทย

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ผลสำรวจออกมาเช่นนี้ พวกเราคนไทยน่าจะลดอคติที่มีต่อกัน เพราะอคติเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหมู่คนไทยเหลือน้อยลงไป พวกเราน่าจะนึกถึงวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีน้ำใจเกื้อกูลกัน เอื้ออาทรต่อกัน เพราะความดีงามเหล่านี้เป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นในสังคมประเทศทั่วโลกและครอบครองใจชาวต่างชาติที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสสังคมไทย ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศในขณะนี้อยู่ในมือของคนไทยทุกคนที่จะหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธีและช่วยกันนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปได้

Thursday, June 14, 2007

ต้องให้กำลังใจกระบวนการปราบโกง

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=41134&NewsType=2&Template=1

ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือ โต้แย้ง จากกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 52,884 ล้านบาท โดยใช้มูลเหตุในการดำเนินการคือ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพวก ได้ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติได้ทรัพย์สินโดยมิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากผลการตรวจสอบและไต่สวนของอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของ คตส.

ตามขั้นตอนหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกถูก อายัดทรัพย์ สามารถเข้าชี้แจงได้ด้วยตัวเองหรือส่งตัวแทนเข้าชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด 60 วัน แต่ที่น่าสนใจท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คงจะเป็นการเปิดเผยของนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. ที่ระบุว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็ก จากวงเงินมูลค่า 73,000 ล้านบาท เหลือเพียง 52,884 ล้านบาท โดยเป็นข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วว่า เงินที่หายไปนำไปดำเนินธุรกรรมทางด้านใดบ้าง

ที่สำคัญคือ คตส. ควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การออกมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้กับอดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 โดยเร็ว เพื่อไม่ให้คนบางกลุ่มนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นและขยายผลว่า มติของ คตส. ในการเสนออายัดทรัพย์เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือที่มีการระบุว่า คตส. ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เหมือนกับกรณีที่คนบางกลุ่มพยายามโต้แย้งว่า การวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งของคนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบุคคลที่มีหน้าที่ในการแก้ไขจะต้องเร่งยุติปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว

หลังจากที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าล้มล้างรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้เหตุผล 4 ประการที่ประกอบด้วย 1. บ้านเมืองมีความแตกแยก 2. องค์กรอิสระถูกแทรกแซง 3. มีการกระทำที่ส่อว่าจะทุจริตและคอร์รัปชัน และ 4. การกระทำที่ส่อว่าหมิ่นเบื้องสูงนั้น คนส่วนใหญ่เห็นว่าการผลักดันให้มีองค์กรในการตรวจสอบข้อครหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันดูจะมีผลงานคืบหน้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น คตส. และ ป.ป.ช. ทั้งที่การตรวจสอบเรื่องความไม่ถูกต้องในสังคมมักจะไม่มีใครกล้ารับทำหน้าที่นี้ โดยเกรงว่าจะมีปัญหา ดังนั้นคนที่อยากเห็นความถูกต้องในสังคมต้องช่วยกันให้กำลังใจกับ คตส. และ ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและนำทรัพย์สินที่ถูกฉ้อฉลกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติโดยเร็ว.

ต้องให้กำลังใจกระบวนการปราบโกง

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=41134&NewsType=2&Template=1

ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือ โต้แย้ง จากกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 52,884 ล้านบาท โดยใช้มูลเหตุในการดำเนินการคือ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพวก ได้ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติได้ทรัพย์สินโดยมิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากผลการตรวจสอบและไต่สวนของอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของ คตส.

ตามขั้นตอนหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกถูก อายัดทรัพย์ สามารถเข้าชี้แจงได้ด้วยตัวเองหรือส่งตัวแทนเข้าชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด 60 วัน แต่ที่น่าสนใจท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คงจะเป็นการเปิดเผยของนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. ที่ระบุว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็ก จากวงเงินมูลค่า 73,000 ล้านบาท เหลือเพียง 52,884 ล้านบาท โดยเป็นข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วว่า เงินที่หายไปนำไปดำเนินธุรกรรมทางด้านใดบ้าง

ที่สำคัญคือ คตส. ควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การออกมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้กับอดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 โดยเร็ว เพื่อไม่ให้คนบางกลุ่มนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นและขยายผลว่า มติของ คตส. ในการเสนออายัดทรัพย์เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือที่มีการระบุว่า คตส. ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เหมือนกับกรณีที่คนบางกลุ่มพยายามโต้แย้งว่า การวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งของคนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบุคคลที่มีหน้าที่ในการแก้ไขจะต้องเร่งยุติปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว

หลังจากที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าล้มล้างรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้เหตุผล 4 ประการที่ประกอบด้วย 1. บ้านเมืองมีความแตกแยก 2. องค์กรอิสระถูกแทรกแซง 3. มีการกระทำที่ส่อว่าจะทุจริตและคอร์รัปชัน และ 4. การกระทำที่ส่อว่าหมิ่นเบื้องสูงนั้น คนส่วนใหญ่เห็นว่าการผลักดันให้มีองค์กรในการตรวจสอบข้อครหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันดูจะมีผลงานคืบหน้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น คตส. และ ป.ป.ช. ทั้งที่การตรวจสอบเรื่องความไม่ถูกต้องในสังคมมักจะไม่มีใครกล้ารับทำหน้าที่นี้ โดยเกรงว่าจะมีปัญหา ดังนั้นคนที่อยากเห็นความถูกต้องในสังคมต้องช่วยกันให้กำลังใจกับ คตส. และ ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและนำทรัพย์สินที่ถูกฉ้อฉลกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติโดยเร็ว.

Tuesday, June 12, 2007

โพลชี้ ปชช.หนุน คตส.สั่งอายัดทรัพย์'ทักษิณ'

http://www.innnews.co.th/politic.php?nid=42087

สวนดุสิตโพลระบุประชาชนร้อยละ 51.08 เห็นด้วย คตส.สั่งอายัดทรัพย์สิน 'ทักษิณ' นอกจากนี้ร้อยละ 64.22 ชี้อาจทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงมากขึ้น

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,110 คน ระหว่างวันที่ 11-12 มิถุนายน 2550 ถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. สั่งอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบว่า ประชาชนร้อยละ 51.08 เห็นด้วยกับการอายัดทรัพย์สินกว่า 50,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และร้อยละ 49.5 ยังเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่รุนแรงเกินไป สมเหตุสมผลตามหลักฐาน และเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ขณะที่มีประชาชนเพียงร้อยละ 29.19 เท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการอายัดทรัพย์

นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 64.22 เห็นว่า การออกคำสั่งอายัดทรัพย์ อาจทำให้เกิดปัญหาความรุนแรง และก่อให้เกิดปัญหาความวุ่นวายมากขึ้น

Monday, June 11, 2007

อายัดทรัพย์ 'ทักษิณ'! ทุจริต-ร่ำรวยผิดปกติ

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=50245

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ทุกบัญชีธนาคาร และสถาบันการเงิน รวม 21 บัญชี

เบื้องต้นมีพยานและหลักฐานอันเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวก ทุจริตประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินที่มิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อต่อกิจการของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ได้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยรวม โดยพฤติการณ์ทุจริตและประพฤติมิชอบ มีพยานจนถึงขั้นถูกกล่าวหาถึง 5 คดี เช่น ทุจริตโครงการจัดซื้อที่ดิน มูลค่าตามสัญญา 742 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการจัดซื้อกล้ายาง 1,440 ล้านบาท ของกรมวิชาการเกษต

นอกจากนี้ ยังมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ อีก 6 คดี เช่น การแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า หรือ พรีเพด เพื่อประโยชน์แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เวอร์วิส จำกัด หรือ เอไอเอส ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์

จากพฤติการณ์ทั้งหมด ทำให้คณะกรรมการ คตส. เห็นว่าผลการดำเนินการตรวจสอบในหลายๆ เรื่อง มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ มีการทุจริตและประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติ และเนื่องจากได้พบว่าเงินบางส่วนนั้นถูกยักย้ายถ่ายโอนไปแล้ว อาทิ เงินค่าขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งยังเหลืออยู่ในบัญชีประมาณ 52,884 ล้านบาทเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด 73,271 ล้านบาท ดังนั้น คตส.มีมติให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทุกบัญชีเงินฝาก ทุกธนาคาร ทุกสถาบันการเงิน รวมทั้งหมด 21 บัญชี

ทรท.กร่อยประชุม40กว่าคนโวตั้งเครือข่ายหนุน'ทักษิณ' นอกประเทศ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/11/WW03_0301_news.php?newsid=78301

11 มิถุนายน พ.ศ. 2550 17:49:00

"พงษ์เทพ"เป็นประธานประชุมอดีตกก.บริหารทรท.40กว่าคน 2อดีตรมว.คนนอกโผล่ร่วม ด้าน"นิสิต" เผยตั้งเครือข่ายรายภาคและนอกประเทศ โวระดมสมาชิกสมัครพรรคใหม่ให้ได้ 19 ล้านเสียง

ที่อาคารไอเอฟซีที ที่ทำการพรรคไทยรักไทย เวลา 13.00 น. นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำกลุ่มไทยรักไทย เป็นประธานประชุมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิการเมือง โดยมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเข้าร่วมประชุมประมาณ 40 กว่าคน

เช่น นายจำลอง ครุฑขุนทด นายสุธรรม แสงประทุม นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล นอกจากนี้ ยังมีนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ร.อ.สุชาติ เชาววิศิษฐ์ อดีต รมว.คลัง มาร่วมด้วย

ทั้งนี้ ไม่ปรากฎอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ย้ายไปอยู่กับกลุ่มมัชฌิมา รวมทั้งกลุ่มสมานฉันท์และธรรมาธิปไตย ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย เดินทางไปฮ่องกงตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา มีกำหนดกลับวันเดียวกันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเริ่มการประชุมได้เกิดการปะทะคารมขึ้นเล็กน้อยระหว่างนายทวี ไกรคุปต์ อดีตส.ส.บัญชรายชื่อพรรคไทยรักไทย กับสื่อมวลชน โดยนายทวี เข้ามาต่อว่าและห้ามช่างภาพ โดยระบุว่าถึงถ่ายไปก็ไม่ได้ออกอากาศ พร้อมขอดูบัตรช่างภาพและผู้สื่อข่าวว่าเป็นนักข่าวจริงหรือไม่ ทำให้เกิดการถกเถียงกันนานถึงครึ่งชั่วโมง จนเจ้าหน้าที่พรรคต้องมาห้ามทัพ

ต่อมา นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายประชา ประสพดี อดีตส.ส.สมุทรปราการ ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและพานายทวี ออกไปสงบสติอารมณ์ที่ด้านนอกอาคาร ทำให้นายทวีไม่พอใจอย่างมากเดินทางออกจากพรรคไปทันที โดยไม่ร่วมประชุมใดๆ

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 10.00 น.นายนิสิต สินธุไพร ประธานกลุ่มคนรักทักษิณ ไม่เอาเผด็จการ เป็นประธานกรประชุมอดีต ส.ส.ไทยรักไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม โดยแบ่งการประชุมออกเป็นรายภาค จากนั้นนายนิสิต เปิดเผยว่า ได้มีการประเมินสถานการณ์การชุมนุม โดยเห็นว่ายุทธศาสตร์ของกลุ่มจะพยายามเคลื่อนไหวโดยระดมคนให้มากที่สุด ทั้งในส่วนของการสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มผ่านแบบฟอร์ม ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีสมาชิกจำนวนเท่ากับคะแนนเสียงของส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อปี 2549 คือ 19 ล้านเสียง และขณะนี้ทางกลุ่มมีแนวร่วมในต่างประเทศ

ได้แก่ กลุ่มคนรักทักษิณฯ ในซานฟรานซิสโก ที่มีนายเอนก ชัยชนะ เป็นประธาน สาขาชิคาโก มีนายปรีชา ฉ่ำแฉล้ม เป็นประธาน นอกจากนี้ยังมีอีก 2 แห่งที่อยู่เลือกประธานกลุ่ม คือสาขานิวยอร์ก และฝรั่งเศส ส่วนบรรยากาศตอนนี้เดินหน้าเข้าสู่เผด็จการเต็มรูปแบบและมีความพยายามเข่นฆ่าทางการเมือง เช่น ล่าสุดเมื่อช่วงวันเดียวกันนี้ทหารได้บุกตรวจค้นบ้านพักนายศุภชัย โพธ์สุ อดีตส.ส.นครพนม ที่กรุงเทพฯ และนายพรชัย อรรถปรียางกูร อดีตส.ส.เชียงใหม่ก็ถูกทหารควบคุมตัว ดังนั้นกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งนั้น วันนี้ไปถามประชาชนไม่มีใครเชื่อ เขาเชื่ออย่างเดียวว่าจะมีปฏิติซ้ำ

นายสุรชัย เบ้าจรรยา กล่าวว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. เวลา 12.00 น. จะมีกลุ่มคนรากหญ้าจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน จะไปเดินทางไปประท้วงขับไล่คมช.ที่หน้ากองทัพบก ด้วยการวางพวงหรีดและโกนหัวประท้วง

นายพงศ์เทพ เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ได้เชิญอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์มาหารือถึงผลของคำวินิจฉัย รวมถึงข้อโต้แย้งทางกฎหมายที่ได้ดำเนินการไป และยังแจ้งให้ทราบถึงหน้าที่ของอดีตกรรมการบริหารว่าขั้นตอนต่อไป จะต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ส่วนการขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่นั้น เรายังยืนยันว่าจะใช้ชื่อพรรคไทยรักไทยเหมือนเดิม ไม่ได้เตรียมชื่ออื่นๆสำรองไว้ เมื่อถามถึง กรณีที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการเลื่อนเลือกตั้งให้เร็วขึ้น อาจทำให้ตั้งพรรคใหม่ไม่ทัน นายพงศ์เทพตอบว่า ต้องดูความจริงใจของรัฐบาล ว่าอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ หากมีเจตจำนงดังกล่าว ต้องเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งพรรคใหม่โดยเร็วที่สุด

เมื่อถามว่า นายกฯออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองโดยมีการพาดพิงมายังพรรคไทยรักไทย นายพงศ์เทพตอบว่า ส่วนตัวไม่ได้ฟังโดยตรง มีคนมาเล่าให้ฟังบ้าง ซึ่งหลายเรื่องน่าจะว่ากันด้วยกระบวนการทางศาล ให้ศาลตัดสินว่าเป็นไปอย่าที่มีการกล่าวหาหรือไม่ อย่างไรก็ตามคนที่พูดถึงคนอื่นก็ต้องดูภาพของตัวเองด้วย อย่าไปทึกทักเชื่อตามข้อกล่าวหา เรื่องทั้งหมดต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาล อดีตรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทยได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติไว้มากกว่ารัฐบาลชุดนี้

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่คตส.จะทำการอายัดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพงศ์เทพตอบว่า ไม่ทราบรายละเอียด ต้องไปถามคตส. แต่บอกได้ว่าการใช้กฎหมายจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่นั้น ระยะเวลาที่ใช้อาจบอกไม่ได้ แต่หากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จะมีการตรวจสอบได้ว่าอำนาจทั่ใช้ไปถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ตามที่คตส.มีการกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ เช่นเรื่องที่ดินรัชดา ก็ไม่เห็นว่าจะมีการสืบสาวไปถึงคนที่เกี่ยวข้องเลย รวมทั้งคดีอื่นๆด้วย
นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการที่พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวผ่านทีวีโดยระบุว่าอดีตส.ส.พรรคไทยรักไทยมีทางออกในการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งที่จะถึง ว่า ตอนนี้คนเริ่มไม่เชื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ที่นายกฯพูดเช่นนี้เพราะต้องการให้อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทยย้ายไปอยู่พรรคอื่น แต่ยืนยันว่าเราไม่ไป จะต่อสู้กับเผด็จการจนถึงที่สุด สาเหตุที่พวกเราเคลื่อนไหวตอนนี้เพราะต้องการลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่พรรคอื่น แต่ปรากฏว่าก็ยังมีความพยามไม่ให้เราจดทะเบียนตั้งพรรคไทยรักไทย อย่างไรก็ตามฝากบอกพรรคอื่นที่แต่งตัวหวีผมรอต้อนรับอดีตส.ส.ว่าเลิกหวังได้แล้ว

Thursday, April 26, 2007

ร่วมยินดี‘บิ๊กแอ้ด’ยกเลิก ไม่ไป‘ดูไบ’เจอ‘ทักษิณ’ แต่ระวัง-อาจเจอกันที่จีน ปลายพ.ค.นี้ไปกัน‘ทั้งคู่’

http://thaiinsider.info/portal/content/view/3587/57/


เผย “พายัพ” ขอจองเวร-ล้างแค้น คงเพราะคับแค้นใจ แต่แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” กำลังดิ้นรนอย่างหนัก “เอกยุทธ” ชี้เป็นสิ่งดีที่ “บิ๊กแอ้ด” ยกเลิก

ไม่ไปดูไบ เพราะอาจต้องไปเจอกับ “ทักษิณ” และตกเป็นเป้าให้ถูกโจมตี แต่ให้ระวังปลายเดือนหน้าที่จะไปเยือนจีน อาจเจอทีเด็ดต้องพบแม้วได้ เหตุทักษิณถูกเชิญไปพูดในงาน Asian Forum ช่วงคาบเกี่ยวพอดี

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยถึงกรณีนายพายัพ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย และน้องชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า จะประกาศจองเวร ขอเอาคืนทั้งโคตรกับกลุ่มคนที่มากลั่นแกล้งว่า จริงๆ แล้วจะโทษนายพายัพคนเดียวคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลดำเนินการอย่างไม่มีความเสมอภาค เนื่องจากรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณหลายคน กลับมีทีท่าว่าจะไม่ได้ถูกดำเนินการ มีแต่เฉพาะคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้น ที่ถูกดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง การที่นายพายัพออกมาให้สัมภาษณ์แสดงให้เห็นว่า เกิดความคับแค้นใจ และฉายภาพว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังดิ้นรน แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล ว่าจะดำเนินการเรื่องปราบปรามการทุจริตอย่างไร

“อย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า การมาตามหาเรื่องคอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะกฎหมายในอดีตได้ถูกแก้จากผิดให้เป็นถูก การจะจัดการจึงทำได้ยากลำบาก แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอายัดทรัพย์และตรวจเช็คเรื่องการเสียภาษีย้อนหลัง เอาทรัพย์สินเป็นตัวตั้ง และขอดูใบเสียภาษีของแต่ละคน เพื่อพิสูจน์ว่า มีรายได้สอดรับกันหรือไม่ หากแต่ละคนพิสูจน์ได้ก็จบ ถือว่าแฟร์ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน และดำเนินคดี หากดำเนินการเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครมาต่อว่าได้ และนายพายัพหรือใครก็คงมาว่าไม่ได้ว่า มีการเลือกปฏิบัติ”นายเอกยุทธกล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น อย่างตนเคยบอกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสถานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปไหนก็มีเครื่องบินส่วนตัว แถมได้รับการต้อนรับจากหลายๆประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะระงับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณได้ก็คือ การอายัดทรัพย์เพื่อมาพิสูจน์ โดยนำประเด็นเรื่องการเสียภาษีมาเป็นตัวตั้ง เพราะต่างประเทศจะกังวลมาก ในเรื่องที่คนโดนกล่าวหาเรื่องการเลี่ยงภาษี ใครที่กล้ารับประกันจะเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาได้ เรามัวแต่ไปคิดว่า เขามีเงิน 7.3 หมื่นล้านในไทย แต่จริงๆ แล้ว เขามีเงินเป็นแสนล้านบาท และอยู่ในต่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีและตลอดเวลา ส่วนที่มีคนปล่อยข่าวว่า ทักษิณจะไปซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพื่อหากระแสและไม่ให้ตกข่าวเท่านั้น

ส่วนกรณีที่ล่าสุดพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการเดินทางไปดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะมีการจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำธุรกิจของตะวันออกกลางและเอเชีย ระหว่างวันที่ 21-22 พ.ค. ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะไปพบกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากมีภาพออกไปว่า พล.อ.สุรยุทธ์มีการพบปะกับพ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้เกิดความเสียหาย และกลายเป็นเป้าให้ถูกโจมตีได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้พล.อ.สุรยุทธ์เฝ้าระวังด้วยว่า ในระหว่างที่จะเดินทางไปเยือนประเทศจีน ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ตัวพ.ต.ท.ทักษิณก็จะเดินทางไปเยือนจีนเช่นกัน โดยพ.ต.ท.ทักษิณจะไปร่วมงาน Asian Forum และเขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวปาฐกถาด้วย ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกันพอดีกับที่พล.อ.สุรยุทธ์จะเดินทางไปเยือนจีน ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีการจัดฉากให้ไปเจอกันที่นั่นก็ได้

Wednesday, April 25, 2007

'บรรณวิทย์'ร้องคตส. ฟัน“ทักษิณ”โกงสุวรรณภูมิหมื่นล้าน

http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/26/WW10_WW10_news.php?newsid=66128

26 เมษายน พ.ศ. 2550 14:15:00

“บรรณวิทย์-ประพันธ์”บุก คตส.สอบทุจริตอาคารที่พักผู้โดยสาร แฉ “ทักษิณ” สั่งแก้ไขสัญญา พร้อมมอบหลักฐานมัด “แม้ว” มีลายเซ็นสั่งบอร์ด ทำรัฐเสียหายให้กับรัฐกว่า 1 หมื่นล้านบาท


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เมื่อเวลา 09.30 น.พล.ร.อ. บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขปัญหาท่าอากาศสุวรรณภูมิ พร้อม นายประพันธ์ คูณมี ประธานอนุกรรมการตรวจสอบสัญญาก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน หลังตรวจพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น

ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือว่า ได้มีการหารือร่วม กับนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.พร้อมทั้งได้รายงานผลการตรวจสอบโครงการ โดยพบว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีความผิดตั้งแต่การประมูล การพิจารณาแก้ไขแบบ โดยรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขแบบเองโดยไม่ใช้อำนาจของกรรมการบอร์ด และนำแบบที่ได้ไปประมูล พร้อมสั่งให้บอร์ดทำสัญญาจ้างโดยที่ไม่มีอำนาจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัทเอกชนที่ประมูลงานได้ จึงผิดทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ กฎหมายฮั้ว และผิดที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท และที่สำคัญ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เป็นวันเดียวกับที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

นายประพันธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม. ยังมีเจตนาแก้ไขสัญญาที่อัยการตรวจแล้ว เพื่อลดความรับผิดให้ผู้รับเหมา เช่น การประกันภัย การรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่อง เท่ากับลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมา ทำให้รัฐไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ ที่สำคัญโครงการนี้ถือเป็นสัญญาหลักของโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ

“สำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบในโครงการนี้ ประกอบด้วย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกรรมการบอร์ด ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายศรีสุข ที่เป็นคนขีดฆ่าสัญญาความผิดของบริษัทเอกชนทิ้ง หลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย โดยอนุกรรมการฯ ได้มอบหลักฐานทั้งหมดให้กับ คตส. แล้ว ซึ่งในเอกสารมีการลงนามของ พ.ต.ท. ทักษิณ สั่งให้บอร์ดไปจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย เพียงบริษัทเดียว ทั้งๆ ที่ฝ่ายกฎหมายได้มีการทักท้วงแล้วว่าไม่ควรจะมีการแก้ไขสัญญาทำให้รัฐเสียหายแต่ไม่เป็นผล จนทำให้บอร์ดบางคนรับไม่ได้ถึงขั้นลาออก ซึ่งในขณะนั้นแม้แต่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิทธ์ ในฐานะบอร์ดก็ไม่เห็นด้วย ” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.อ. บรรณวิทย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เป็นโมฆะนั้น ได้รับคำแนะนำจาก นายแก้วสรร ว่า ควรแยกคดีแพ่งกับอาญาออกจากกัน โดย คตส. เห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดทางอาญาจริง และจะรับไว้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนคดีแพ่งควรให้ บริษัท การท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทำเรื่องขอเลิกสัญญาไปกับกระทรวงคมนาคมได้เลย ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีหน้าที่โดยตรงในทางแพ่ง ที่จะยกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย รวมถึงการทำสัญญาตรง ทั้งนี้ในฐานะเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ทอท. อยู่แล้ว จึงจะนำเรื่องนี้หารือกับบอร์ด เพื่อให้ดำเนินการตามที่ คตส. เสนอแนะ

ด้าน นายสัก กองแสงเรือง โฆษก คตส. และอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการปล่อยกู้ให้กับประเทศพม่าของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือ ธสน. เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุกรรมการยังไม่ได้สรุปผลการตรวจสอบ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบวงเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านบาท หลังพบว่าสัญญาสุดท้ายที่ทำร่วมกันวงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งกรอบเริ่มต้นอยู่ที่ 3,000 ล้านบาทว่าเพิ่มจากสาเหตุใดและอยู่ในหลักการเดิมที่เคยตกลงไว้หรือไม่ นอกจากนี้อนุกรรมการจะพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับกิจการโทรคมนาคมด้วยหรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่ในกรอบแรกที่คุยกัน ส่วนจะมีการผลักดันเป็นพิเศษจากฝ่ายการเมืองในเรื่องกิจการโทรคมนาคมหรือไม่อนุกรรมการยังไม่ได้สรุป จึงไม่ขอให้ความเห็นเพราะอาจเกิดความเสียหาย

Thursday, April 12, 2007

หวยบนดินห้ามนิรโทษกรรม รบ.ชุดเก่า

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124053&NewsType=1&Template=1

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 เม.ย. ที่กระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัมมาร สยามวาลา และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมทั้งหมด 4 คน เข้าพบเพื่อผลักดันให้กระทรวงการคลัง นำกฎหมายการขายหวยบนดิน เข้าสู่การประชุม สนช.โดยเร็วว่า ข้อเสนอของสนช.ทั้งหมด เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ซึ่งตนจะพิจารณารายละเอียด ร่างกฎหมายที่กระทรวงการคลัง ดำเนินการให้ชัดเจน และรอบคอบ ก่อนนำเสนอให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดทั้งหมด รวมถึงข้อเสนอของสนช.ด้วย เพราะมีทางเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป ในหลายแนวทาง โดยยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศ ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง แต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยก่อนหน้านี้ มีสมาชิกของ สนช. เป็นจำนวนมาก ที่เห็นด้วยให้มีหวยบนดิน พร้อมเสนอแนวทางต่าง ๆ ให้พิจารณา โดยเฉพาะการให้นำหวยบนดิน เข้ามาตรา 22 ของกฎหมายสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2517 ที่กำหนดให้จัดสรรเงิน 60% ที่ได้จากการขายหวย เป็นเงินรางวัล พร้อมจัดสรรเงิน 28% นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ และอีก 12% ให้จัดสรรเป็นค่าบริหารจัดการ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายสำนักงานสลากฯ แต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้การเดินหน้า ในเรื่องนี้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการนิรโทษกรรม ให้กับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา.

สมัคร-ดุสิต เจอคุก 24 เดือน

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124054&NewsType=1&Template=1

ศาลไม่รอลงอาญาคดีหมิ่น สามารถ

สมัคร-ดุสิต เจอศาลสั่งจำคุกคนละ 24 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ออกรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' กับ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' จ้อ มีผู้รับเหมาถอยบีเอ็มป้ายแดงให้ ศาลระบุเหตุผลสั่งจำคุกเด็ดขาด 'ชมพู่' เคยหมิ่นคนอื่นมาหลายครั้งให้โอกาสกลับตัวมาตลอด แต่ยังทำผิดซ้ำซากอีก '2 คู่หู' ใช้เงินสดคนละ 2 แสนประกันตัวไป ด้าน 'สามารถ' ดีใจสังคมได้ทราบเรื่องจริง แจงทั้งคู่เตรียมเจอ 'เด้งสอง' คดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายร้อยล้านอีกเร็ว ๆ นี้

ที่ห้องพิจารณาคดี 34 ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่าระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' และรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยวันที่ 12 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า 'มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯ ซีรีส์ 7 โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้' ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน

ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 2549 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพ มหานคร 10 โครงการ มันกินกัน 12-13 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ในวันที่ 17 ม.ค. 2549 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า 'ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเปก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่าใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง' และข้อความอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวง-เขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน

การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่า โจทก์ เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่า ผู้บริหารกรุงเทพมหานครคือโจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่ามีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่าง ๆ นอกจากนี้โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเอง โดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า โครงการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ภายหลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราช ทัณฑ์ได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมไว้ในห้องพิจารณาคดีที่ 15 ระหว่างนี้นายสมัครกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ต้องยื่นอุทธรณ์แน่นอน ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ระหว่างอุทธรณ์คดีโดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ปรึกษา ผู้ว่าฯ กทม. อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.โจทก์คดีนี้กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้พิสูจน์ให้สังคมทราบว่าตนไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกทั้งสองกล่าวหา นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นฟ้องทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาทด้วย คาดอีกไม่นาน ศาลจะมีคำพิพากษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป.

Monday, March 26, 2007

หญิงอ้อ"เครียดยื่น5ล้านประกันตัว!

อัยการฟ้องแล้ว "หญิงอ้อ-บรรณพจน์-เลขาฯคนสนิท" ฐานร่วมกันเลี่ยงภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ นัดตรวจสอบพยานหลักฐาน 14 พ.ค.นี้ "เมียอดีตนายกฯ"เข้ารายงานตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังฝืนยิ้มให้กับม็อบที่มาให้กำลังใจ พร้อมยื่น 5 ล้านประกันตัว ศาลสั่งห้ามสัมภาษณ์ ฝ่าฝืนอาจสั่งถอนประกัน ส่วนม็อบเชียร์ไม่วุ่นวาย ทนายยันไม่หนักใจเตรียมตั้งทีม ก.ม.สู้คดี คตส.สุดทน 2 รมต.เกียร์ว่าง ออกหนังสือเรียก 'อารีย์-ฉลองภพ'แจงที่ประชุมใหญ่ 2 เม.ย.นี้ ขู่เบี้ยวเจอคุกแน่ 'สัก' สุดเอือมประสานนายกฯแล้วไม่ได้เรื่องฉุดงาน คตส.อืด ลั่นเลิกพึ่ง สุรยุทธ์' พร้อมจัดคิว 'โอ๊ค-เอม' ตามรอย 'หญิงอ้อ' อนุหุ้นเสนอฟันอาทิตย์หน้า ขณะที่ปัญหาคิงเพาเวอร์ 'สรรเสริญ' เผย ต้องใช้หลักนิติฯ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์แก้ 'ทอท.' ยันส่งเอกสารให้อัยการสัปดาห์นี้ ก่อนแจ้งดิวตี้ฟรีอย่างเป็นทางการ 'กัลยา' ระบุรัฐบาลต้องมีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นทำให้การทำงานที่ผ่านมาสูญเปล่า
เกี่ยวกับปัญหาทุจริตโครงการต่าง ๆ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยล่าสุดคดีหลบเลี่ยงภาษีโอนขายหุ้น บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ศาลมีความเห็นสั่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชาย และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัว ในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร โดยเท็จ โดยฉ้อโกง และโดยอุบายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) และร่วมกันจงใจแสดงข้อความหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จะต้องเดินทางไปแสดงตัวที่ฝ่ายอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 วันที่ 26 มี.ค.นี้ ตามหมายเรียก โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ทั้ง 3 จะเดินทางไปศาล เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งได้เตรียมเอกสารขอยื่นประกันตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ทัพสื่อมวลชนปักหลักรอทำข่าว
ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีใหญ่ที่ประชาชนให้ความสนใจ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. วันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพดล ปัทมะ ทนายความตระกูลชินวัตร ได้เดินทางมารอรับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ พี่ชายต่างมารดา และนางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัว ตามที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องคดีร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโอนหุ้นบริษัทชินฯ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่มารอปักหลักทำข่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณศาลฯ กว่า 100 นาย

หญิงอ้อเครียดฝืนยิ้มให้ม็อบเชียร์
กระทั่งเวลา 09.30 น. คุณหญิงพจมาน ได้เดินทางมาถึงโดยรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 สีดำ ทะเบียน สว 1314 กรุงเทพมหานคร สวมชุดผ้าไหมสีเหลือง สีหน้าเครียด โดยพยายามฝืนยิ้มให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 20 คน ที่มาถือป้ายแสดงข้อความให้กำลังใจ พร้อมดอกกุหลาบสีแดงรอต้อนรับ โดยมีนางดารณี กฤตบุญญาลัย ไฮโซชื่อดัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมน้องเขย พ.ต.ท. ทักษิณ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คนสนิท และบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งเมื่อคุณหญิงพจมานลงจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ รปภ. ต้องตั้งแถวเป็นแนวยาว ตั้งแต่เชิงบันไดทางขึ้น ไปจนถึงห้องรับรอง ชั้น 2 ภายในอาคารศาลฯเพื่อป้องกันความวุ่นวายจากผู้ที่มาให้กำลังใจ และผู้สื่อข่าว-ช่างภาพที่ตรงรุมล้อมสัมภาษณ์

อัยการหอบคำฟ้องยื่นศาล
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายเศกสรรค์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ นายนันทศักดิ์ พูลสุข รองอธิบดีอัยการฯ และคณะทำงานได้นำคำฟ้องจำนวน 12 หน้า มายื่นฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งคำฟ้องได้ลงนาม นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยใช้กลอุบาย ตามประมวลรัษฎากร ม.37 (2) และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร, ตามประมวลรัษฎากร ม.37 (1) ประกอบ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 ม.14 และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ ป.รัษฎากร พ.ศ. 2481 ม.2,3 และประมวลกฎหมายอาญา ม.83, 91 และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.อาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2526 ม.4

นัดสอบคู่ความ 14 พ.ค.นี้
สรุปได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยให้ถ้อยคำเท็จและโดยการฉ้อโกง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากร และเงินเพิ่มจำนวน 546,120,000 บาทโดย คตส. ตรวจสอบมูลคดีแล้ว ต่อมาวันที่ 5 ม.ค. 50 คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ คตส.จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทั้ง 3 ทราบโดยชอบแล้ว และในการชี้แจงจำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ คตส.พิจารณาไต่สวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงมีมติว่าจำเลย ทั้ง 3 กระทำผิดตามข้อกล่าวหาแต่เป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย ทั้งนี้ศาลได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ อ.1149/2550 และสอบคำให้การจำเลยทั้ง 3 ในเบื้องต้น โดยจำเลยทั้ง 3 ยืนยันให้การปฏิเสธ โดยศาลจะนัดคู่ความตรวจสอบพยานหลักฐานในวันที่ 14 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.

Thursday, January 18, 2007

สื่อฮ่องกงแฉ 'ทักษิณ' จ้างบ.ล็อบบี้มะกัน

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=148905

19 มกราคม 2550

ฮ่องกง - หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกง นำเสนอข่าวหน้าหนึ่งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้ว่าจ้างบริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส บริษัทล็อบบี้ของสหรัฐ ซึ่งมีรัฐบาลหลายประเทศ รวมทั้ง อินเดีย กาตาร์ และไต้หวันเป็นลูกค้า

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อสิ่งพิมพ์ฮ่องกง ซึ่งไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข่าวระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้พบปะหารือกับนักล็อบบี้ของบริษัทดังกล่าว ที่ฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ด้านบาร์เบอร์ กริฟฟิธ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในวอชิงตัน ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นในรายงานดังกล่าว ทั้งบนหน้าเวบไซต์ของบริษัท ก็ไม่มีการระบุชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ในรายชื่อลูกค้าของบริษัท ที่รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่างซิตี้กรุ๊ป และบริษัทรถไฟแห่งชาติแคนาดา

บริษัทล็อบบี้แห่งนี้ มีนายเอ็ด โรเจอร์ส ซึ่งเคยทำงานที่ทำเนียบขาวสมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทั้งยังมีนายโรเบิร์ต แบล็ควิลล์ อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐร่วมทำงานอยู่ด้วย

Wednesday, January 17, 2007

อดีตทูตอาวุโสจวก"พ.ต.ท.ทักษิณ"นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม

http://www.innnews.co.th/around.php?nid=17618

หนังสือพิมพ์ Today ซึ่งเป็นสื่อของสิงคโปร์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2550 ได้รายงานข่าวที่มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า นายกีชอร์ มาห์บูบานิ อดีตนักการทูตอาวุโส และผู้อำนวยการโรงเรียนลี กวน ยิว ซึ่งพูด ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นธรรมกับสิงคโปร์ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิงคโปร์ไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเมตตาต่อสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ก็ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

Tuesday, January 16, 2007

ใช่...คนไทยก็กำลังบอกทักษิณ"Enough is enough"

http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=148134

คำว่า "Enough is enough" ที่ทักษิณ ชินวัตร พูดในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันจันทร์ จากสิงคโปร์ นั้นถ้าแปลจากความหมายของเจ้าตัวเองก็คือการขอความเห็นใจ และความสงสารจากคนอื่น

แปลว่าทำอะไรมามากพอแล้ว ได้เวลาจะหยุดแล้ว

แต่ถ้าประธาน คมช. พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หรือนายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนอุทานวลี "Enough is enough" กับทักษิณ ละก้อ ความหมายจะออกไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง

แปลว่านายกฯ คนปัจจุบันกำลังบอกกับอดีตนายกฯ ว่า "พูดจาสร้างกระแสคลื่นใต้น้ำในประเทศจากข้างนอกพอแล้ว หยุดการกระทำอันไม่พึงประสงค์เช่นนั้นได้แล้ว"

ถ้าคำนี้มาจากประชาชนคนไทยต่อทักษิณ ก็แปลว่าคนไทยต้องการให้ทักษิณ หยุดทำตัวเป็นนกขมิ้นที่ทัวร์อย่างเศรษฐี บินไปโน่นมานี่เพื่อจะทำตัวเป็นผู้ยั่วยุให้บ้านเมืองไทยวุ่นวายใจไม่หยุด

ถ้ารัฐบาลไทยเรียกทูตสิงคโปร์ ประจำกรุงเทพฯ มาแล้วก็บอกว่ารัฐบาลของเขาควรจะต้องระงับการกระทำอันไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลไทยด้วยการยอมให้ทักษิณไปทำอะไรๆ ที่ก่อกวนรัฐบาลไทยอย่างนั้น และลงท้ายด้วยการกระซิบกับทูตสิงคโปร์ว่า "Enough is enough" ก็แปลว่าไทยเรากำลังใช้การทูตแบบขึงขังอย่างผู้มีจุดยืนชัดเจนขึ้น

สรุปว่าการที่ทักษิณ ลั่นคำว่า "Enough is enough" ในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น วันก่อนนั้นไม่ได้สะท้อนว่าเขาต้องการจะก้าวลงจากเวทีการเมืองหรือต้องการจะทำตัวเป็น "ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง" ที่จะไม่เป็นตัวการที่จะก่อความวุ่นวายในประเทศอีกต่อไป

เพราะคำว่า "enough" ของทักษิณนั้นไม่ได้แปลว่า "enough" ที่มีความหมายว่าพอจริงๆ...หากแต่เป็นการเล่นคำฝรั่งที่ตัวเองก็ไม่ได้สันทัดอะไรมากมายนัก

ทักษิณต้องการหลอกฝรั่งคนสัมภาษณ์ว่ากำลังจะ "วางมือ" จากการเมืองไทย แต่คนไทยที่ได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ที่ทักษิณทั้งแขวะ และต่อว่าต่อขานอีกทั้งยังอ้างว่าเคยมีความพยายามจะลอบสังหารเขาถึงสามครั้งสามคราก่อนถูกปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทักษิณ ก็ยังคือทักษิณ คนเดิม

คือพูดอะไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนเดิม...คือยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น...ปากบอกว่าเลิก แต่ใจยังทุรนร่านต้องการจะกลับมามีอำนาจ...ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องการเป็นนายกฯ อีก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังแค้นเคืองไม่หาย ต้องการจะเอาอำนาจ อิทธิพล และบารมีกลับคืนมาเป็นของตน และพรรคพวกอีก

เพราะถ้าทักษิณ ต้องการวางมือทางการเมืองจริงๆ เขาก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ด้วยการบอกผ่าน CNN หรือ The Asian Wall Street Journal ที่สิงคโปร์

จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองส่งผ่านทนายความให้คนไทยได้อ่านนั้นไม่ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะ "วางมือทางการเมือง" แต่ประการใด มีแต่ลีลาของการพยายามหาเสียง และขอคะแนนความนิยมจากคนไทยด้วยการแก้ไขทั่วไปมากกว่า

ภาพทางจอซีเอ็นเอ็น ระหว่างสัมภาษณ์ทักษิณ นั้น มีโลโก้ CNN Exclusive Interview เพื่อแจ้งว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษ และใต้ภาพทักษิณเขียนเป็นประโยคใหญ่อ่านได้ชัดๆ ว่า

Thai PM ousted amid charges of corruption" ซึ่งแปลว่า "นายกฯไทยที่ถูกขับไล่ท่ามกลางข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน"

นักข่าวฝรั่งอาจจะไม่ได้ทำการบ้านพอ หรือซีเอ็นเอ็นอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอ ที่จะมีการถามในสิ่งที่ควรจะถามทักษิณว่า
ที่เขาถูกขับไล่นั้นเพราะมีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลระดับสูงจนประชาชนคนไทยทนไม่ไหวต้องออกมาตะโกน

"Enough is enough" ไม่ใช่หรือ

Monday, January 15, 2007

คุณทักษิณอยู่ในเงามืดของ"คนลักษณ์ที่สาม"

Permalink : http://www.oknation.net/blog/adisak
Post by อดิศักดิ์

13 สิงหาคม 49

อาการเบื่อๆ อยากๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงการตรวจราชการภาคอีสาน มักจะเกิดขึ้นอย่างนี้แทบทุกครั้งเมื่ออยู่ในช่วงถูกแรงกดดันหนักๆ และมักจะ "เป็นเอามาก" ในช่วงฤดูติดสัดหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง นับตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาสู่วงการการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ลองสังเกตให้ดีว่าอาการแบบนี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว จนน่าจะกลายเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ "นักแสดง" ในการหาเสียงของคุณทักษิณ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวบ้านในระดับล่างๆ ที่คุณทักษิณรู้ว่ามักจะมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนที่ถูกรังแก

จึงไม่ควรจะไปให้น้ำหนักเชื่อถือในคำพูดของคุณทักษิณใดๆ ให้เสียเวลาเปล่า ว่าจะสู้หรือจะถอยเสียสละเพื่อประเทศชาติ

เพราะที่แน่ๆ คุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยน ในการคิดถึงตัวเองมากกว่าคิดถึงประเทศชาติ หลังจากถูกกดดันมากๆ ทั้งตัวเองและครอบครัว ได้ทำให้คุณทักษิณจำเป็นต้องคิดและพูดออกมาดังๆ ไปทั่วว่า หลังเลือกตั้งจะเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อลดแรงกดดันมากกว่าอยากจะทำจริงๆ

น่าจะเป็นการพูดแบบหลอกๆ มากกว่า เพราะยังอยากจะทำตัวเป็น "อีแอบ" อยู่หลังม่านทำเนียบเพื่อชักใยนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้ทำตามความต้องการของตัวเองที่มีความวิตกกังวลและความกลัวหลายอย่าง เช่น กลัวถูกเช็คบิลย้อนหลัง กลัวถูกยึดทรัพย์ เป็นต้น

เพราะทั้งหมดคือ "การแสดง" บทบาทหนึ่งของคุณทักษิณที่ถูกเขียนบทไว้ล่วงหน้าก่อนตัดสินใจทำหรือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งการเดินสายรอบใหม่ เป้าหมายตุนคะแนนสงสารไว้เพื่อจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายกับประเทศมากขนาดไหน

ตอนเช้าๆ เจอนักข่าว คุณทักษิณจึงมักจะออกลีลาบ่นปนตัดพ้อแถมด้วยคำพูดเหน็บแนมเสียดสี โทษสื่อไม่ให้ความเป็นธรรม แม้กระทั่งหายใจยังต้องระวังกลัวจะถูกจับผิด โทษคนอื่นว่าเอาแต่จ้องจับผิดจนทำงานไม่ได้ ขอร้องให้สมานฉันท์เพื่อชาติ อยากจะเว้นวรรคเต็มแก่แล้ว

ตอนบ่าย-เย็นเมื่อออกพบปะชาวบ้านที่มีทั้งถูกจัดฉากเกณฑ์มาต้อนรับและเดินทางมาด้วยใจจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น ผู้กำกับการแสดงจะเขียนบทให้คุณทักษิณปราศรัยในทำนองเดิมๆ ปลุกเร้าว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่เห็นใจคนจนเท่านี้ แล้วเริ่มทำเสียงอ้อนว่าถูกสื่อและพวกเสียประโยชน์รังแก ไม่อยากทำงานต่อไปแล้ว อุตส่าห์เสียสละความสุขมาทำงานแต่กลับถูกโจมตี ทำให้ไม่อยากจะสู้ต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาเห็นชาวบ้านจำนวนมากมาฟังจะไม่ยอมแพ้ไม่เว้นวรรคอีกแล้ว

จากนั้นจะถึงฉากสำคัญทุกครั้งเมื่อคุณทักษิณเดินสายปราศรัยต่างจังหวัด คนเฒ่าคนแก่จะโผมากอดเอวคุณทักษิณจับมือเขย่าๆ ขอให้สู้ต่อไป

เมื่อคุณทักษิณถูกกอดหอมแก้มจากผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะพยายามแสดงสีหน้าฉีกยิ้มให้กว้างๆ เข้าไว้ เพราะผู้กำกับบอกบทมาแล้วว่าภาพเชิงบวกอย่างนี้จะไปปรากฏในสื่อโทรทัศน์ทุกช่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณทักษิณดูติดดินและน่าเห็นใจมากขึ้น คะแนนนิยมจะขยับขึ้นในชนบทมากกว่าการลดลงในเขตเมืองทุกครั้ง

ตกค่ำยามดึกสังสรรค์ในวงคนแวดล้อม อาการของคุณทักษิณจะกลับกลายไปเป็นอีกคนอย่างไม่น่าเชื่อในหูและสายตา

คุยโม้คุยโตไทยคำ-ฝรั่งสองคำถึงวิชั่นหลุดโลก คำพูดคำจามักจะมีถ้อยคำหยามคู่แข่งขันทางการเมืองว่าไม่ได้อยู่ในสายตา ออกอาการเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเหลือล้นว่าไม่มีใครฉลาดเท่าอีกแล้ว

บางทีมีคำพูดแรงๆ พาดพิงไปถึงบุคคลระดับสูงของสังคมที่มีน้ำเสียงเย้ยหยันถากถางแกมอิจฉา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหลายๆ คน ที่เป็นความใฝ่ฝันเดิมของคุณทักษิณที่อยากจะเป็น "รัฐบุรุษ" เช่นกัน

สังคมไทยที่ยังพอมีผู้มีปัญญาหลงเหลืออยู่ คงจะมองเห็นพฤติกรรมอาการแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ทวีความหนักข้อขึ้นทุกวัน จึงเกิดความวิตกกังวลไปทั่วว่าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร หากคุณทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง

แม้ว่ากระบวนการตุลาการภิวัตน์จะสะสางปัญหาได้ระดับหนึ่งในการลงโทษคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 คนถึงขั้นจำคุก แล้วสรรหาบุคคลที่ได้รับการยอมรับ 10 คนส่งให้วุฒิสภาเลือกเป็น กกต.ชุดใหม่

แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงแบ่งประเทศกันแล้ว ระหว่างคนอีสาน-เหนือชอบ กับคนกรุงเทพฯ-ใต้เกลียดคุณทักษิณ คงไม่มีทางหมดลงไปอย่างแน่นอนหลังเลือกตั้ง

เพราะ กกต.ชุดใหม่คงจะทำหน้าที่อำนวยการเลือกตั้งให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรมได้เท่านั้น แต่จะยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมรุนแรงขึ้นไปอีก

เพราะกลุ่มเชียร์คุณทักษิณได้ถูกอำนาจตุลาการลงโทษไปแล้วแต่กำลังซุ่มซ่อนหาทางตีโต้คืนในเร็ววัน เพื่อรักษาอำนาจให้คุณทักษิณที่แสดงตัวว่าถูกรังแกจากอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ

ผมจึงกลับไปอ่านหนังสือ "เอ็นเนียแกรม : ศาสตร์เพื่อความเข้าใจตนเองและผู้อื่น" ที่คุณวาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ The Enneagram : Understanding Yourself and the Other in Your Life ที่ว่าด้วยการอธิบายบุคลิกลักษณะและการแสดงออกของมนุษย์ที่มีอยู่ 9 ลักษณ์

ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของคุณทักษิณในช่วงชีวิตธุรกิจและการเข้าสู่ชีวิตการเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ถูก "รู้ทัน" จับผิดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากขายหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้านบาท ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์

น่าจะสอดคล้องกับความเป็นลักษณ์ที่สามมากที่สุดคือ นักแสดง (The Performer) ที่มักจะสร้างผลงานและความสำเร็จเพื่อให้เป็นที่รัก ชอบการแข่งขัน ยึดติดกับภาพลักษณ์ของผู้ชนะ และการเปรียบเทียบสถานะกับคนอื่น มีบุคลิกภายนอกที่เป็นเลิศ บ้างาน ชอบทำงานแข่งกับเวลา

คนลักษณ์ที่สามมักสับสนระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับบทบาทในหน้าที่การงาน จนอาจจะดูมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นจริง

เขามักจะพยายามปรับเปลี่ยนบุคลิกและการแสดงตนเหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เพื่อสร้างคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการทำงานให้สำเร็จ จดจ่อกับงานหรือปฏิกิริยาของคนอื่นต่องานของตนเอง ปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติได้ ก่อนที่จะใช้ความคิดตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่คนลักษณ์นี้มักจะมีปัญหารุนแรงที่ออกอาการทุกข์ทรมานจากนิสัยการหลอกตัวเองและผู้อื่น ด้วยการแสดงภาพลักษณ์ที่ทำให้ตนเองเป็นที่นับถือ เช่น คนบ้างาน เป็นต้น

เขาจะดูเป็นคนสมัยใหม่อย่างมาก มุ่งมั่นในความสำเร็จ มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีชีวิตชีวาและชอบการแข่งขัน ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี ไม่มีวี่แววความทุกข์และอาจไม่เคยรู้ตัวเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่าเขาไม่ได้เข้าถึงตัวตนแท้จริงภายใน

แต่คนลักษณ์นี้มักอิงตัวเองอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ วัดคุณค่าตัวเองด้วยจำนวนรายได้ต่อปี เขาอาจรู้สึกเบื่อแทบตายกับงานที่ทำอยู่ แต่ตำแหน่งที่หรูหราประทับใจ สามารถชดเชยความรู้สึกนี้ได้

ในส่วนของความสามารถพิเศษในการปรับตัวของเขาจะเป็นทั้งคุณและโทษในตัว

ที่เป็นคุณคือ เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้อยู่ภายใต้ภาวะความกดดัน แต่หากมีมากเกินไปในแบบที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะกลับกลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณถูกต่อต้าน คุณทักษิณยิ่งดันทุรังหนักข้อ ทำให้สังคมแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ทุกวันนี้

คนลักษณ์นี้ที่เป็น "นักแสดง" ยังมีความสามารถในการหยิบฉวยโอกาสใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ไปตามบทบาทใหม่ จะทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

นอกจากนี้ คนลักษณ์ที่สามมักจะต้องการเป็นผู้มีอำนาจ

ด้านดีคือ จะเป็นแบบอย่างของผู้บังคับบัญชาที่อุทิศตัวและเป็นศูนย์รวมของคนอื่น เขาทุ่มเทตัวเองกับงานอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น สามารถจัดการปัญหายุ่งๆ เฉพาะหน้าได้ดีด้วยทัศนคติที่ว่า ทำไปก่อน ทุกอย่างแก้ไขได้ตอนหลัง สามารถกระตุ้นคนอื่นให้กล้าทำ กล้าเสี่ยง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ได้

แต่ด้านไม่ดีของความต้องการมีอำนาจ คือ มักจะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเข้าควบคุม ลัดขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งจะส่งผลให้งานมีคุณภาพลดลง

น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับคุณทักษิณที่ปล่อยให้ด้านมืดของความเป็นคนลักษณ์ที่สามเข้าครอบงำจนหมดสิ้นกลบด้านดีของตัวตนคุณทักษิณไปจนหมด

ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า ถ้าหากคนในลักษณ์ที่สามอย่างที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะมีระดับในทางบวกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จะสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ เจรจายื่นข้อเสนอได้ดี เป็นผู้สนับสนุนหรือผลักดันสิ่งต่างๆ ได้ดี เป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จ

แต่อาการป่วยทางจิตของคุณทักษิณกำลังอยู่ในขั้นรุนแรงแบบเดียวกับที่อาจารย์หมอประเวศ วะสีบอกว่าป่วยเป็น "โรคสมองตกบ่วง" ที่มีอาการเก็บกดจากความดันทุรังของตัวเอง หลงยึดติดกับอำนาจที่เป็นหัวโขน การปฏิเสธความจริงจากฝ่ายตรงกันข้าม การหลงตัวเองว่าประสบความสำเร็จมากจนไม่ต้องฟังใครทำให้หลงทางกู่ไม่กลับ การโทษแต่ผู้อื่นไม่เคยโทษตัวเองว่าเป็นต้นตอของปัญหา เป็นต้น ได้ทำให้ด้านดีของคนลักษณ์ที่สามที่มีความมุ่งมั่น บ้างาน ชอบแข่งขัน ถูกทำลายไปจนสิ้น

สังคมไทยจึงจำเป็นต้องหาทางให้ "ผู้นำที่ป่วยทางจิต" ลงจากอำนาจโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นอันตรายจะเกิดขึ้นจากความพยายามของเขาที่ทุ่มเทเพื่อเอาชนะทุกคนในทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นมาจากด้านมืดของการเป็นคนลักษณ์ที่สามของคุณทักษิณ

รองนายกฯสิงคโปร์พบกับทักษิณ...ภาษาการทูตเรียกว่า"หยาบคาย"

กรุงเทพธุรกิจ
16 มกราคม 2550

จะเป็นเรื่อง "ทางการ" หรือ "ไม่ทางการ" ก็ตาม หากรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส.จายากูมาร์ ให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบเพื่อ "ปรึกษาหารือกัน" ระหว่างที่อดีตนายกฯ ไทยคนนี้อยู่สิงคโปร์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อรัฐบาลไทย อย่างไม่ต้องสงสัย

สะท้อนด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์ "แคร์" ต่อความรู้สึกของคนไทยในกรณีเทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลของทักษิณ จนกลายเป็น "วิกฤติการเมือง" ของไทยมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม บอกนักข่าวที่ เซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนว่า "เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ เพราะทางสิงคโปร์ได้เกริ่นให้นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ของไทยทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป และบอกว่าการพบกันจะไม่เป็นทางการ..."

แน่นอนว่ารองนายกฯ ของประเทศหนึ่งจะพบกับอดีตนายกฯ ของอีกประเทศหนึ่ง "อย่างเป็นทางการ" ย่อมจะไม่มี

ถ้าทักษิณ พบรองนายกฯ สิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" ซิจะเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ เพราะอดีตผู้นำประเทศไหนจะไปพบกับผู้นำของประเทศอื่นอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องอะไรได้เล่า

ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณพบกับรองนายกฯ ของสิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" หรือไม่...แต่อยู่ที่ว่า "พบกัน" ทำไม

หาก ทักษิณ เป็นคนไร้มารยาทการทูต ไม่สนใจกติกาสากลว่าด้วยประเพณีการติดต่อระหว่างประเทศ เพราะมี "วาระซ่อนเร้น" เฉพาะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่รัฐบาลสิงคโปร์ ควรจะต้องสำนึกในความละเอียดอ่อนของการที่ปล่อยให้ทักษิณ "เพ่นพ่าน" กับระดับผู้นำของเขา เพราะนั่นย่อมแสดงว่าระดับรัฐบาลสิงคโปร์ ยังไม่สำนึกว่าได้สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์กับไทยเพราะเรื่องเทมาเส็ก และชินคอร์ป อย่างไรเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ

สิงคโปร์ ประเมินการเมืองไทยช่วงทักษิณเป็นใหญ่ผิดพลาด จนกลายเป็นวิกฤติสำหรับความน่าเชื่อถือของตัวเอง แล้วยังไม่สำเหนียกว่าจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและอย่างจริงจัง เพื่อเอาตัวเองรอดจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกกับกฎหมายไทยที่ผูกพันกับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทุกขั้นตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกี่ยวกับเรื่องเทมาเส็ก กับ ชินคอร์ป นั้น ผิดแล้วผิดอีก พลาดแล้วพลาดซ้ำเหมือนจงใจจะไม่แก้ไขไม่เยียวยาปัญหานี้กับไทยเลยแม้แต่น้อย

ทักษิณ ในฐานะนักท่องเที่ยวในสิงคโปร์ กับ ทักษิณ ในฐานะผู้ขอเข้าพบรองนายกฯ สิงคโปร์ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...และรัฐบาลไทยจะต้องแสดงจุดยืนที่ไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ในเรื่องนี้ อย่างชัดเจน

ต้องไม่ลืมว่าทักษิณ กับ เทมาเส็ก (ที่อยู่ใต้กระทรวงการคลัง ของรัฐบาลสิงคโปร์และมีเมียนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด) นั้น มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ และเทมาเส็กวันนี้กำลังมีปัญหาหลายด้านในประเทศไทย การที่รองนายกฯสิงคโปร์ พบปะกับอดีตผู้นำไทยเสมือนหนึ่งทุกอย่างเป็นปกตินั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

สังเกตไหมครับว่าตลอดเวลาที่ทักษิณอยู่ปักกิ่งนั้น ไม่เคยมีข่าวปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ของจีน จะยอมให้ทักษิณเข้าพบเลยแม้แต่น้อย

นี่คือ ความแตกต่างของท่าทีของมิตรประเทศที่มีระดับความจริงใจและการเคารพในความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดแจ้ง

สิงคโปร์ไม่เข้าใจหรือว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไทยจึงยกเลิก "หนังสือเดินทางสีแดง" ของทักษิณ และของเมีย

สิงคโปร์ ไม่รู้จักคำว่า "เกรงใจ" ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่า "เสียมารยาททางการทูต" และ "ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ" ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องได้รับคำประท้วงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศไทย

ข่าวล่าสุดบอกว่าทักษิณบินออกจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์...จะไปขอพบรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนไหนอีก เพื่อ "ยังทำตัวอยู่ในข่าว" หรือไม่ ต้องคอยดู...แต่เชื่อเถอะว่า มารยาททางการทูตของญี่ปุ่นนั้นเหนือชั้นกว่าสิงคโปร์มากมายหลายขุมนัก

เพราะวิถีการทูตของจีนและญี่ปุ่นนั้น เขายึดหลักของความถูกต้องชอบธรรมเป็นเกณฑ์ ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ "หลับหูหลับตาทำมาหากิน" อย่างเดียว

Saturday, January 13, 2007

ตั้งอนุไต่สวน"ซีทีเอ็กซ์"ผิดชัด แม้ว-คงศักดิ์ สุริยะ-ศรีสุข ข้อหาละเว้นฯ

เดลินิวส์
14 มกราคม 2550

เฉ่ง “สรรพากร” พลาดตอบหนังสือ “เด็กพจมาน” ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เกี่ยวข้อง “วิโรจน์”ประสาน “หม่อมอุ๋ย” ชลอประเมินภาษีหวั่นพลาด คตส.พร้อมตั้งอนุไต่สวนซีทีเอ็กซ์ เตรียมล่อยกแก๊ง “แม้ว-สุริยะ-คงศักดิ์-ศรีสุข” ฐานเป็นตัวการ-ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โทษสูงสุดคุก 10 ปี ขณะที่กล้ายางไม่น้อยหน้า ชงตั้งอนุไต่สวนเชือดตั้งแต่เจ้ากระทรวง “เสี่ยจ้อน” แฉอีก ปูดแก๊งก์เจ๊ฮุบโครงการเขตปลอดอากรใน “สุวรรณภูมิ” แฉขั้นตอนขบวนการตั้งบริษัทผี โวเดินหน้ายื่นหลักฐานเด็ดมัด “เจ๊แดง”

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. นายบรรเจิด สิงคะ เนติ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุตรวจสอบได้รวบรวมพยานหลักฐาน และสรุปข้อมูลได้ชัดเจนแล้วว่ามีการทุจริต ซึ่งอนุกรรมการตรวจสอบจะเสนอให้ตั้งอนุไต่สวนที่คาดว่าน่าจะมาจากอนุกรรมการตรวจสอบชุดเดิมในวันจันทร์ที่ 15 ม.ค.นี้ ส่วนจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงเกี่ยวข้อง หรือไม่คงยังไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับที่ประชุม

รายงานข่าวแจ้งว่า อนุตรวจสอบกล้ายางฯ ได้ตั้งประเด็นการสอบออกเป็น 3 ประเด็น คือ ตรวจสอบเพื่อเอาผิดในระดับนโยบายข้าราชการและบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูล โดยก่อนหน้านี้มีการวิตกกังวลว่า หลักฐานอาจจะสาวไม่ถึงนักการเมือง จะเอาผิดได้เพียงข้าราชการและบริษัทเอกชนเท่านั้น อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมเพื่อสรุปผลการทำงานล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา อนุตรวจสอบฯ สามารถสรุปผลเพื่อเอาผิดนักการเมืองได้แล้ว ไล่ไปตั้งแต่นัก การเมืองระดับเจ้ากระทรวงฯ ลงไปจนถึงอธิบดีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ บ.เอกชน

อีกด้าน หลังจากที่นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ชี้แจงการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น กับ บจก.แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ ต่อคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตนไม่ได้สั่งให้นางปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน ทำหนังสือสอบถามเรื่องการเสียภาษีไปยังกรมสรรพากรนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบฯ กล่าวว่า ในส่วนของกรมสรรพากรไม่น่าที่จะไปตอบคำถามดังกล่าว เพราะนางปราณีสอบถาม โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการซื้อขายหุ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดของกรมสรรพากร

เมื่อถามว่านายสมหมาย ภาษี รมช. คลัง ระบุกรมสรรพากรไม่สามารถประเมินภาษีได้ เพราะต้องรอผลสอบของ คตส.ก่อน นายวิโรจน์ กล่าวว่า คตส. คงไม่มีอำนาจสั่งการกระทรวงการคลัง แต่ที่นายสมหมาย ออกมาพูดอย่างนี้อาจเป็นเพราะว่า ตนได้เข้าพบ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รมว.คลัง และแจ้งให้กรมสรรพากรชะลอการประเมินภาษีไปก่อนเพื่อให้รอผลสรุปของ คตส. เพราะคิดว่าเมื่อสอบปากคำของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เสร็จคณะอนุกรรมการตรวจสอบจะสามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้เลย ซึ่งจะทำให้ชัดเจนว่าการประเมินภาษีควรใช้ประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (2) หรือ (8)

แหล่งข่าวจาก คตส. กล่าวถึงความคืบหน้าในการเตรียมตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ว่า ในวันจันทร์ที่ 15 ม.ค. นี้คาดว่าจะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน เนื่องจากมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว เบื้องต้นหลังจากที่มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้วจะเป็นขั้นตอนการตั้งข้อกล่าวหา และต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยคดีนี้ถือเป็นความผิดทางอาญาในมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 83 ฐานเป็นตัวการที่ทำให้รัฐเสียหายซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหารวม 23 คน

โดย 4 คนคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ในฐานะอดีตกรรมการบริหาร ทอท. และนายศรีสุข จันทรางศุ อดีตประธานบอร์ด บทม. ที่จะถูกดำเนินคดี 2 กระทง คือ 1. ในช่วงการทำสัญญากับไอทีโอ ได้มีการปฏิบัติตามสัญญานั้น ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว และ 2. ในช่วงบริษัท จีอี อินวิชั่น ไม่ขายผ่านตัวแทน ได้มีการซื้อขายโดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง ถือว่าผิดเช่นกัน แต่ในส่วนนี้ยังอยู่เพียงแค่การชี้มูลเท่านั้น ซึ่งในส่วนผู้ถูกกล่าวหา 23 คนนั้น คงไม่มีการกันใครเอาไว้เป็นพยานแน่นอน

ทั้งนี้ในมาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนมาตรา 83 ระบุ ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นาย อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต ปชป. แถลงว่า จากการติดตามตรวจสอบโครงการบริหารเขตปลอดอากรและศูนย์โลจิกติกส์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ได้ว่าจ้าง บจก. ไทย แอร์พอตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส (แทกส์) โดยร่วมลงทุนกับ ทอท. ลงนามในสัญญาวันที่ 28 เม.ย. 2549 เป็นระยะเวลา 10 ปี

พบว่าการว่าจ้างดังกล่าวไม่มีการประมูลเพื่อให้เกิดการแข่งขัน และยังพบหลักฐานที่เชื่อได้ว่าบริษัท แทกส์ ถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท โฟรบิชเซอร์ ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ที่เข้ามากว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของแทกส์ถึงร้อยละ 48.5 ที่สำคัญ มีการโยงใยถึงแก๊งเจ๊คนหนึ่งที่ได้วางแผนปล้นชาติด้วยการยักยอกเงินออกจากแทกส์ ตั้งแต่ปี 2547-2548 แล้วนำเงินนี้ย้อนกลับมาซื้อหุ้นใหญ่ของแทกส์ ซึ่งน่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ แทกส์ไม่เคยได้รับงานในสนามบินสุวรรณภูมิเลย แต่เมื่อบริษัท โฟรบิชเซอร์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แทกส์ ทำให้ได้งานในสนามบินแห่งนี้โดยไม่ต้องแข่งขัน

"น่าตกใจตรงที่หลักฐานการจดทะเบียบของบริษัท โฟรบิชเซอร์พบว่าเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการต่ำกว่าร้านบะหมี่ในประเทศไทยเสียอีก โดยระบุผลประกอบการในปี 2546 ว่ามีรายได้แค่ 120 บาท และปี 2547 มีรายได้แค่ 100 บาท แต่เมื่อช่วงปลายปี 2547 กลับมีเงิน 198 ล้านบาท มาซื้อหุ้นบริษัท แทกส์ ได้ จึงน่าแปลกใจมากว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน" นาย อลงกรณ์กล่าวและว่า จากการตรวจสอบผู้ถือหุ้นบริษัท โฟรบิชเซอร์ พบว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นคนสิงคโปร์และคนไทย ซึ่งจากการไปตรวจสอบเลขที่บ้านของผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทยพบว่าเป็นบ้านร้าง แต่ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งไปแล้ว จึงเชื่อว่าผู้ถือหุ้นรายนี้เป็นนอมินีทำการแทนไอ้โม่งหรืออี โม่งอย่างแน่นอน

นอกจากนี้พบว่าบริษัท แทกส์ได้ว่าจ้างบริษัท ดีเทค เป็นบริษัทที่ปรึกษาโครงการมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท แต่ทำงานที่ปรึกษาแค่ 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งบริษัทนี้จดทะเบียนในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น และมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบริษัท โฟรบิชเซอร์ เพราะบริษัท ดีเทค และบริษัท โฟรบิชเซอร์ มีที่ตั้งอยู่เลขที่เดียวกันในสิงคโปร์ เพื่อใช้ในการติดต่อ และทำธุรกรรมต่าง ๆ

"ผมมีคำถามว่า ทอท. ที่มีบอร์ดไปเป็นกรรมการบริษัท แทกส์ อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้าง บริษัท ดีเทค ได้อย่างไร เพราะเป็นการปู้ยี่ปู้ยำงบประมาณ ดังนั้นในวันที่ 17 ม.ค.นี้ เวลา 11.00 น. ผมจะเดินทางไปยื่นหลักฐานให้ คตส. และขอให้ตรวจสอบบอร์ด ทอท. ที่มีนายศรีสุข จันทรางศุ เป็นประธานในขณะนั้นด้วย เพราะเป็นตัวแทนบอร์ด ทอท. ที่นั่งในตำแหน่งบริหารของแทกส์ที่เป็นบริษัทลูก รวมทั้งให้สอบผู้ที่เกี่ยวข้องที่เชื่อว่าเป็นนอมินีของเจ๊คนหนึ่ง มีชื่อว่า นาย ส. และ น.ส.ป. จากนั้นผมจะไปหารือกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการให้เป็นตัวอย่างด้วย" นายอลงกรณ์ กล่าว

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ ว่าร่ำรวยผิดปกติ และแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จนั้น ภายในสัปดาห์นี้ตนจะประสานกับคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ "การยื่นตรวจสอบกรณีร่ำรวยผิดปกติเป็นเพียงความผิดปลายน้ำ จึงจำเป็นจะต้องว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อจะได้ข้อเท็จจริงของกระบวนการโกงชาติ ตลอด 5 ปี ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ คาดว่าจำนวนเงินที่สูญเสียไปรวมถึงสิทธิในสัมปทานต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท"

Friday, January 12, 2007

"บุญรอด"อัด"แม้ว" จุดชนวน"ไฟใต้" รับหย่าศึกผิดตัว

รมว.กลาโหมเผยเจรจาหย่าศึกกลุ่มป่วนใต้ผิดตัว ไม่เป็นไปตามข้อตกลงยุติก่อเหตุ 7 วัน ยอมรับบีอาร์เอ็นถือไพ่เหนือกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร-ติดต่อไม่ได้ อัด"แม้ว"จุดชนวนไฟลุกโชน โจรใต้เย้ยทหาร บึ้มรถ จ.ส.อ.หน้าค่ายสิรินธร โฆษก ทบ.ออกโรงแจงตรวจพบเองก่อนทำลายทิ้ง อีกรายเผาธงชาติล่อทหารเข้าตรวจที่เกิดเหตุ กดระเบิดหวังสังหาร โชคดีแค่เจ็บเล็กน้อย 3 นาย@ "บุญรอด"อัด"แม้ว"ทำไฟใต้ลุกโชนพล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการทำงานของกระทรวงกลาโหมในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 12 มกราคมว่า สิ่งที่เป็นภารกิจหลักของรัฐบาลมี 3 ปัญหา คือ 1.ภัยพิบัติ 2.ปัญหาภาคใต้ และ 3.เรื่องความสมานฉันท์ ซึ่งการแก้ปัญหาภาคใต้เป็นสิ่งที่สื่อให้ความหวังว่าน่าจะสงบลงภายหลังที่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง และมีขบวนการที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้เงื่อนไขและไฟใต้ที่ถูกกลบอยู่ต้องลุกโชนขึ้นมา ดังนั้น การที่จะเข้าดับทันทีทำได้ยาก โดยปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่จากใช้ความรุนแรงหันมาใช้แนวสันติวิธีและสมานฉันท์ ซึ่งทุกอย่างเริ่มดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา @ ยอมรับเจรจาสงบศึก7วันแต่ผิดตัว"ขณะนี้เรากำลังให้ความสำคัญการพูดคุย นั่นคือผู้ที่ก่อความไม่สงบและใช้ความรุนแรงต่างๆ ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันที่ไม่ได้ทำในระดับรัฐบาล เป็นการพูดคุยระดับเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการพูดคุยผิดตัว ซึ่งการที่รู้ว่าผิดตัวเพราะได้ยื่นเงื่อนไขให้ยุติการก่อเหตุเป็นเวลา 7 วัน แต่ไม่สามารถทำได้ตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ซาตู พูโล ซึ่งกลุ่มที่กำลังก่อความรุนแรงในพื้นที่ขณะนี้คือ กลุ่มบีอาร์เอ็น ต้องยอมรับว่าขณะนี้เขาถือไพ่เหนือกว่า ใช้ความรุนแรงก่อเหตุต่อเนื่อง ขณะนี้เรายังไม่สามารถติดต่อได้ และไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่ว่าเป็นกลุ่มไหน ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่คุยกับเรา ตอนนี้ยังเจรจาไม่ถูกตัว" พล.อ.บุญรอดกล่าว

คตส.สอบเครียด เลขานุการคุณหญิงพจมาน นานกว่า 7 ชั่วโมง ประธานอนุกรรมการสอบมั่นใจข้อมูลกระจ่างคาดสรุปได้ภายในเดือนก.พ.

นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)เปิดเผยภายหลังจากนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าชี้แจงต่อคตส. เป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมงว่า นางกาญจนาภาได้ให้ข้อมูลทั้งในส่วนของการโอนและซื้อขายหุ้นรวมถึงการเสียภาษีจึงใช้เวลานาน แต่เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกรณีที่นายพานทองแท้ ชินวัตร ให้ข้อมูลเอาไว้ ซึ่งทำให้คณะอนุกรรมการได้ความกระจ่างในบางส่วน เพราะถือว่านางกาญจนาภา เป็นผู้ดำเนินการแทน แต่ก็คงต้องนำไปรวบรวมข้อมูลพร้อมกับการชี้แจงในวันอื่นต่อไป ในขณะที่นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ ระบุว่า นางกาญจนาภายืนยันว่าไม่ได้มอบหมายให้นางปราณีไปสอบถามกรมสรรพากรว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดนางปราณี ถึงไปสอบถามดังกล่าวทั้งนี้ คตส.ไม่จำเป็นต้องเชิญนางกาญจนาภามาชี้แจงอีก เนื่องจากการให้ข้อมูลครั้งนี้ทำให้ คตส.สามารถสรุปสำนวนคดีได้เร็วขึ้น โดยคาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ก.พ. ก่อนที่จะมีการเสียภาษีตามการประเมินประจำปี ซึ่งจะครบในเดือน มี.ค.

ประธานเครือข่าย " เตมูจิน " หอบข้อมูลบริษัท 7 แห่ง ที่เชื่อมโยงเหตุระเบิดป่วนกรุง ให้ เลขา ปปง.พร้อมเผย นายพลอักษรย่อ พ. เป็น อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.

นายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานเครือข่ายเตมูจิน ได้เดินทางเข้าพบเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปราบการฟอกเงินหรือ ปปง.เพื่อมอบเอกสารเกี่ยวกับบริษัท 7 แห่งซึ่งเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิด 8 จุดใน กทม.เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมาโดยนายชนาพัทธ์ บอกว่าอยากให้ปปง. ตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของบริษัททั้งหมดเพราะเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมยืนยันด้วยว่าพล.อ. อักษรย่อ พ. ที่ตนระบุว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ระเบิดเมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นอดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในไม่ใช่ทหารในสังกัดกองทัพบก นอกจากนี้ยังมีพล.ต.อักษรย่อ ม.ซึ่งเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ระเบิดด้วย ส่วนกรณีที่ทางด้านของพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ออกมากล่าวหาว่าตนเป็นคนสติไม่ดีนั้นตนไม่สนใจเพราะเห็นว่าใครทำอะไรคงรู้ดีแก่ใจและมั่นใจด้วยว่าในวันพรุ่งนี้ซึ่งตรงกับวันเด็กจะไม่มีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นอีกเนื่องจากขณะนี้มีกำลังตำรวจและทหารคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญอย่างแน่นหนา

Thursday, January 11, 2007

ระเบิดรถเมียทหารหน้า 'ค่ายสิรินธร' ที่ปัตตานี โชคดีไม่มีใครเจ็บ-ตาย

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์กระบะอีซูซุดีแม็ค แค็ป ของภรรยาเจ้าหน้าที่ทหาร ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้รถได้รับความเสียหายเล็กน้อย แต่ไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ภรรยาเจ้าที่ทหารในค่าย ซึ่งเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว ที่มีบ้านพักอยู่ในตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา ได้ขับรถเข้ามาที่ค่ายตามปกติ เมื่อมาจุดแลกบัตรผ่านเข้ามาภายในค่ายก่อนจะถึงจุดตรวจที่ 2 ซึ่งจะมีการตรวจใต้ท้องรถ ก็ได้เกิดระเบิดขึ้นทันที แต่โชคดีที่คนขับไม่ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าคนร้ายคงแอบติดระเบิดไว้ใต้ท้องรถผู้เสียหาย มาก่อน หลังเกิดเหตุได้มีสื่อมวลชนรีบไปทำข่าวจำนวนมาก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ห้ามเข้าไปภายในค่าย