Monday, January 15, 2007

คุณทักษิณอยู่ในเงามืดของ"คนลักษณ์ที่สาม"

Permalink : http://www.oknation.net/blog/adisak
Post by อดิศักดิ์

13 สิงหาคม 49

อาการเบื่อๆ อยากๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงการตรวจราชการภาคอีสาน มักจะเกิดขึ้นอย่างนี้แทบทุกครั้งเมื่ออยู่ในช่วงถูกแรงกดดันหนักๆ และมักจะ "เป็นเอามาก" ในช่วงฤดูติดสัดหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง นับตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาสู่วงการการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ลองสังเกตให้ดีว่าอาการแบบนี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว จนน่าจะกลายเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ "นักแสดง" ในการหาเสียงของคุณทักษิณ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวบ้านในระดับล่างๆ ที่คุณทักษิณรู้ว่ามักจะมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนที่ถูกรังแก

จึงไม่ควรจะไปให้น้ำหนักเชื่อถือในคำพูดของคุณทักษิณใดๆ ให้เสียเวลาเปล่า ว่าจะสู้หรือจะถอยเสียสละเพื่อประเทศชาติ

เพราะที่แน่ๆ คุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยน ในการคิดถึงตัวเองมากกว่าคิดถึงประเทศชาติ หลังจากถูกกดดันมากๆ ทั้งตัวเองและครอบครัว ได้ทำให้คุณทักษิณจำเป็นต้องคิดและพูดออกมาดังๆ ไปทั่วว่า หลังเลือกตั้งจะเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อลดแรงกดดันมากกว่าอยากจะทำจริงๆ

น่าจะเป็นการพูดแบบหลอกๆ มากกว่า เพราะยังอยากจะทำตัวเป็น "อีแอบ" อยู่หลังม่านทำเนียบเพื่อชักใยนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้ทำตามความต้องการของตัวเองที่มีความวิตกกังวลและความกลัวหลายอย่าง เช่น กลัวถูกเช็คบิลย้อนหลัง กลัวถูกยึดทรัพย์ เป็นต้น

เพราะทั้งหมดคือ "การแสดง" บทบาทหนึ่งของคุณทักษิณที่ถูกเขียนบทไว้ล่วงหน้าก่อนตัดสินใจทำหรือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งการเดินสายรอบใหม่ เป้าหมายตุนคะแนนสงสารไว้เพื่อจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายกับประเทศมากขนาดไหน

ตอนเช้าๆ เจอนักข่าว คุณทักษิณจึงมักจะออกลีลาบ่นปนตัดพ้อแถมด้วยคำพูดเหน็บแนมเสียดสี โทษสื่อไม่ให้ความเป็นธรรม แม้กระทั่งหายใจยังต้องระวังกลัวจะถูกจับผิด โทษคนอื่นว่าเอาแต่จ้องจับผิดจนทำงานไม่ได้ ขอร้องให้สมานฉันท์เพื่อชาติ อยากจะเว้นวรรคเต็มแก่แล้ว

ตอนบ่าย-เย็นเมื่อออกพบปะชาวบ้านที่มีทั้งถูกจัดฉากเกณฑ์มาต้อนรับและเดินทางมาด้วยใจจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น ผู้กำกับการแสดงจะเขียนบทให้คุณทักษิณปราศรัยในทำนองเดิมๆ ปลุกเร้าว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่เห็นใจคนจนเท่านี้ แล้วเริ่มทำเสียงอ้อนว่าถูกสื่อและพวกเสียประโยชน์รังแก ไม่อยากทำงานต่อไปแล้ว อุตส่าห์เสียสละความสุขมาทำงานแต่กลับถูกโจมตี ทำให้ไม่อยากจะสู้ต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาเห็นชาวบ้านจำนวนมากมาฟังจะไม่ยอมแพ้ไม่เว้นวรรคอีกแล้ว

จากนั้นจะถึงฉากสำคัญทุกครั้งเมื่อคุณทักษิณเดินสายปราศรัยต่างจังหวัด คนเฒ่าคนแก่จะโผมากอดเอวคุณทักษิณจับมือเขย่าๆ ขอให้สู้ต่อไป

เมื่อคุณทักษิณถูกกอดหอมแก้มจากผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะพยายามแสดงสีหน้าฉีกยิ้มให้กว้างๆ เข้าไว้ เพราะผู้กำกับบอกบทมาแล้วว่าภาพเชิงบวกอย่างนี้จะไปปรากฏในสื่อโทรทัศน์ทุกช่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณทักษิณดูติดดินและน่าเห็นใจมากขึ้น คะแนนนิยมจะขยับขึ้นในชนบทมากกว่าการลดลงในเขตเมืองทุกครั้ง

ตกค่ำยามดึกสังสรรค์ในวงคนแวดล้อม อาการของคุณทักษิณจะกลับกลายไปเป็นอีกคนอย่างไม่น่าเชื่อในหูและสายตา

คุยโม้คุยโตไทยคำ-ฝรั่งสองคำถึงวิชั่นหลุดโลก คำพูดคำจามักจะมีถ้อยคำหยามคู่แข่งขันทางการเมืองว่าไม่ได้อยู่ในสายตา ออกอาการเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเหลือล้นว่าไม่มีใครฉลาดเท่าอีกแล้ว

บางทีมีคำพูดแรงๆ พาดพิงไปถึงบุคคลระดับสูงของสังคมที่มีน้ำเสียงเย้ยหยันถากถางแกมอิจฉา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหลายๆ คน ที่เป็นความใฝ่ฝันเดิมของคุณทักษิณที่อยากจะเป็น "รัฐบุรุษ" เช่นกัน

สังคมไทยที่ยังพอมีผู้มีปัญญาหลงเหลืออยู่ คงจะมองเห็นพฤติกรรมอาการแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ทวีความหนักข้อขึ้นทุกวัน จึงเกิดความวิตกกังวลไปทั่วว่าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร หากคุณทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง

แม้ว่ากระบวนการตุลาการภิวัตน์จะสะสางปัญหาได้ระดับหนึ่งในการลงโทษคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 คนถึงขั้นจำคุก แล้วสรรหาบุคคลที่ได้รับการยอมรับ 10 คนส่งให้วุฒิสภาเลือกเป็น กกต.ชุดใหม่

แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงแบ่งประเทศกันแล้ว ระหว่างคนอีสาน-เหนือชอบ กับคนกรุงเทพฯ-ใต้เกลียดคุณทักษิณ คงไม่มีทางหมดลงไปอย่างแน่นอนหลังเลือกตั้ง

เพราะ กกต.ชุดใหม่คงจะทำหน้าที่อำนวยการเลือกตั้งให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรมได้เท่านั้น แต่จะยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมรุนแรงขึ้นไปอีก

เพราะกลุ่มเชียร์คุณทักษิณได้ถูกอำนาจตุลาการลงโทษไปแล้วแต่กำลังซุ่มซ่อนหาทางตีโต้คืนในเร็ววัน เพื่อรักษาอำนาจให้คุณทักษิณที่แสดงตัวว่าถูกรังแกจากอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ

ผมจึงกลับไปอ่านหนังสือ "เอ็นเนียแกรม : ศาสตร์เพื่อความเข้าใจตนเองและผู้อื่น" ที่คุณวาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ The Enneagram : Understanding Yourself and the Other in Your Life ที่ว่าด้วยการอธิบายบุคลิกลักษณะและการแสดงออกของมนุษย์ที่มีอยู่ 9 ลักษณ์

ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของคุณทักษิณในช่วงชีวิตธุรกิจและการเข้าสู่ชีวิตการเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ถูก "รู้ทัน" จับผิดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากขายหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้านบาท ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์

น่าจะสอดคล้องกับความเป็นลักษณ์ที่สามมากที่สุดคือ นักแสดง (The Performer) ที่มักจะสร้างผลงานและความสำเร็จเพื่อให้เป็นที่รัก ชอบการแข่งขัน ยึดติดกับภาพลักษณ์ของผู้ชนะ และการเปรียบเทียบสถานะกับคนอื่น มีบุคลิกภายนอกที่เป็นเลิศ บ้างาน ชอบทำงานแข่งกับเวลา

คนลักษณ์ที่สามมักสับสนระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับบทบาทในหน้าที่การงาน จนอาจจะดูมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นจริง

เขามักจะพยายามปรับเปลี่ยนบุคลิกและการแสดงตนเหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เพื่อสร้างคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการทำงานให้สำเร็จ จดจ่อกับงานหรือปฏิกิริยาของคนอื่นต่องานของตนเอง ปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติได้ ก่อนที่จะใช้ความคิดตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่คนลักษณ์นี้มักจะมีปัญหารุนแรงที่ออกอาการทุกข์ทรมานจากนิสัยการหลอกตัวเองและผู้อื่น ด้วยการแสดงภาพลักษณ์ที่ทำให้ตนเองเป็นที่นับถือ เช่น คนบ้างาน เป็นต้น

เขาจะดูเป็นคนสมัยใหม่อย่างมาก มุ่งมั่นในความสำเร็จ มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีชีวิตชีวาและชอบการแข่งขัน ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี ไม่มีวี่แววความทุกข์และอาจไม่เคยรู้ตัวเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่าเขาไม่ได้เข้าถึงตัวตนแท้จริงภายใน

แต่คนลักษณ์นี้มักอิงตัวเองอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ วัดคุณค่าตัวเองด้วยจำนวนรายได้ต่อปี เขาอาจรู้สึกเบื่อแทบตายกับงานที่ทำอยู่ แต่ตำแหน่งที่หรูหราประทับใจ สามารถชดเชยความรู้สึกนี้ได้

ในส่วนของความสามารถพิเศษในการปรับตัวของเขาจะเป็นทั้งคุณและโทษในตัว

ที่เป็นคุณคือ เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้อยู่ภายใต้ภาวะความกดดัน แต่หากมีมากเกินไปในแบบที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะกลับกลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณถูกต่อต้าน คุณทักษิณยิ่งดันทุรังหนักข้อ ทำให้สังคมแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ทุกวันนี้

คนลักษณ์นี้ที่เป็น "นักแสดง" ยังมีความสามารถในการหยิบฉวยโอกาสใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ไปตามบทบาทใหม่ จะทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

นอกจากนี้ คนลักษณ์ที่สามมักจะต้องการเป็นผู้มีอำนาจ

ด้านดีคือ จะเป็นแบบอย่างของผู้บังคับบัญชาที่อุทิศตัวและเป็นศูนย์รวมของคนอื่น เขาทุ่มเทตัวเองกับงานอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น สามารถจัดการปัญหายุ่งๆ เฉพาะหน้าได้ดีด้วยทัศนคติที่ว่า ทำไปก่อน ทุกอย่างแก้ไขได้ตอนหลัง สามารถกระตุ้นคนอื่นให้กล้าทำ กล้าเสี่ยง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ได้

แต่ด้านไม่ดีของความต้องการมีอำนาจ คือ มักจะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเข้าควบคุม ลัดขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งจะส่งผลให้งานมีคุณภาพลดลง

น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับคุณทักษิณที่ปล่อยให้ด้านมืดของความเป็นคนลักษณ์ที่สามเข้าครอบงำจนหมดสิ้นกลบด้านดีของตัวตนคุณทักษิณไปจนหมด

ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า ถ้าหากคนในลักษณ์ที่สามอย่างที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะมีระดับในทางบวกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จะสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ เจรจายื่นข้อเสนอได้ดี เป็นผู้สนับสนุนหรือผลักดันสิ่งต่างๆ ได้ดี เป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จ

แต่อาการป่วยทางจิตของคุณทักษิณกำลังอยู่ในขั้นรุนแรงแบบเดียวกับที่อาจารย์หมอประเวศ วะสีบอกว่าป่วยเป็น "โรคสมองตกบ่วง" ที่มีอาการเก็บกดจากความดันทุรังของตัวเอง หลงยึดติดกับอำนาจที่เป็นหัวโขน การปฏิเสธความจริงจากฝ่ายตรงกันข้าม การหลงตัวเองว่าประสบความสำเร็จมากจนไม่ต้องฟังใครทำให้หลงทางกู่ไม่กลับ การโทษแต่ผู้อื่นไม่เคยโทษตัวเองว่าเป็นต้นตอของปัญหา เป็นต้น ได้ทำให้ด้านดีของคนลักษณ์ที่สามที่มีความมุ่งมั่น บ้างาน ชอบแข่งขัน ถูกทำลายไปจนสิ้น

สังคมไทยจึงจำเป็นต้องหาทางให้ "ผู้นำที่ป่วยทางจิต" ลงจากอำนาจโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นอันตรายจะเกิดขึ้นจากความพยายามของเขาที่ทุ่มเทเพื่อเอาชนะทุกคนในทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นมาจากด้านมืดของการเป็นคนลักษณ์ที่สามของคุณทักษิณ

No comments: