Monday, January 15, 2007

รองนายกฯสิงคโปร์พบกับทักษิณ...ภาษาการทูตเรียกว่า"หยาบคาย"

กรุงเทพธุรกิจ
16 มกราคม 2550

จะเป็นเรื่อง "ทางการ" หรือ "ไม่ทางการ" ก็ตาม หากรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส.จายากูมาร์ ให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบเพื่อ "ปรึกษาหารือกัน" ระหว่างที่อดีตนายกฯ ไทยคนนี้อยู่สิงคโปร์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อรัฐบาลไทย อย่างไม่ต้องสงสัย

สะท้อนด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์ "แคร์" ต่อความรู้สึกของคนไทยในกรณีเทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลของทักษิณ จนกลายเป็น "วิกฤติการเมือง" ของไทยมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม บอกนักข่าวที่ เซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนว่า "เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ เพราะทางสิงคโปร์ได้เกริ่นให้นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ของไทยทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป และบอกว่าการพบกันจะไม่เป็นทางการ..."

แน่นอนว่ารองนายกฯ ของประเทศหนึ่งจะพบกับอดีตนายกฯ ของอีกประเทศหนึ่ง "อย่างเป็นทางการ" ย่อมจะไม่มี

ถ้าทักษิณ พบรองนายกฯ สิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" ซิจะเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ เพราะอดีตผู้นำประเทศไหนจะไปพบกับผู้นำของประเทศอื่นอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องอะไรได้เล่า

ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณพบกับรองนายกฯ ของสิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" หรือไม่...แต่อยู่ที่ว่า "พบกัน" ทำไม

หาก ทักษิณ เป็นคนไร้มารยาทการทูต ไม่สนใจกติกาสากลว่าด้วยประเพณีการติดต่อระหว่างประเทศ เพราะมี "วาระซ่อนเร้น" เฉพาะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่รัฐบาลสิงคโปร์ ควรจะต้องสำนึกในความละเอียดอ่อนของการที่ปล่อยให้ทักษิณ "เพ่นพ่าน" กับระดับผู้นำของเขา เพราะนั่นย่อมแสดงว่าระดับรัฐบาลสิงคโปร์ ยังไม่สำนึกว่าได้สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์กับไทยเพราะเรื่องเทมาเส็ก และชินคอร์ป อย่างไรเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ

สิงคโปร์ ประเมินการเมืองไทยช่วงทักษิณเป็นใหญ่ผิดพลาด จนกลายเป็นวิกฤติสำหรับความน่าเชื่อถือของตัวเอง แล้วยังไม่สำเหนียกว่าจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและอย่างจริงจัง เพื่อเอาตัวเองรอดจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกกับกฎหมายไทยที่ผูกพันกับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทุกขั้นตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกี่ยวกับเรื่องเทมาเส็ก กับ ชินคอร์ป นั้น ผิดแล้วผิดอีก พลาดแล้วพลาดซ้ำเหมือนจงใจจะไม่แก้ไขไม่เยียวยาปัญหานี้กับไทยเลยแม้แต่น้อย

ทักษิณ ในฐานะนักท่องเที่ยวในสิงคโปร์ กับ ทักษิณ ในฐานะผู้ขอเข้าพบรองนายกฯ สิงคโปร์ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...และรัฐบาลไทยจะต้องแสดงจุดยืนที่ไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ในเรื่องนี้ อย่างชัดเจน

ต้องไม่ลืมว่าทักษิณ กับ เทมาเส็ก (ที่อยู่ใต้กระทรวงการคลัง ของรัฐบาลสิงคโปร์และมีเมียนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด) นั้น มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ และเทมาเส็กวันนี้กำลังมีปัญหาหลายด้านในประเทศไทย การที่รองนายกฯสิงคโปร์ พบปะกับอดีตผู้นำไทยเสมือนหนึ่งทุกอย่างเป็นปกตินั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

สังเกตไหมครับว่าตลอดเวลาที่ทักษิณอยู่ปักกิ่งนั้น ไม่เคยมีข่าวปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ของจีน จะยอมให้ทักษิณเข้าพบเลยแม้แต่น้อย

นี่คือ ความแตกต่างของท่าทีของมิตรประเทศที่มีระดับความจริงใจและการเคารพในความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดแจ้ง

สิงคโปร์ไม่เข้าใจหรือว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไทยจึงยกเลิก "หนังสือเดินทางสีแดง" ของทักษิณ และของเมีย

สิงคโปร์ ไม่รู้จักคำว่า "เกรงใจ" ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่า "เสียมารยาททางการทูต" และ "ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ" ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องได้รับคำประท้วงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศไทย

ข่าวล่าสุดบอกว่าทักษิณบินออกจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์...จะไปขอพบรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนไหนอีก เพื่อ "ยังทำตัวอยู่ในข่าว" หรือไม่ ต้องคอยดู...แต่เชื่อเถอะว่า มารยาททางการทูตของญี่ปุ่นนั้นเหนือชั้นกว่าสิงคโปร์มากมายหลายขุมนัก

เพราะวิถีการทูตของจีนและญี่ปุ่นนั้น เขายึดหลักของความถูกต้องชอบธรรมเป็นเกณฑ์ ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ "หลับหูหลับตาทำมาหากิน" อย่างเดียว

No comments: