Thursday, April 26, 2007

ร่วมยินดี‘บิ๊กแอ้ด’ยกเลิก ไม่ไป‘ดูไบ’เจอ‘ทักษิณ’ แต่ระวัง-อาจเจอกันที่จีน ปลายพ.ค.นี้ไปกัน‘ทั้งคู่’

http://thaiinsider.info/portal/content/view/3587/57/


เผย “พายัพ” ขอจองเวร-ล้างแค้น คงเพราะคับแค้นใจ แต่แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” กำลังดิ้นรนอย่างหนัก “เอกยุทธ” ชี้เป็นสิ่งดีที่ “บิ๊กแอ้ด” ยกเลิก

ไม่ไปดูไบ เพราะอาจต้องไปเจอกับ “ทักษิณ” และตกเป็นเป้าให้ถูกโจมตี แต่ให้ระวังปลายเดือนหน้าที่จะไปเยือนจีน อาจเจอทีเด็ดต้องพบแม้วได้ เหตุทักษิณถูกเชิญไปพูดในงาน Asian Forum ช่วงคาบเกี่ยวพอดี

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยถึงกรณีนายพายัพ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย และน้องชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า จะประกาศจองเวร ขอเอาคืนทั้งโคตรกับกลุ่มคนที่มากลั่นแกล้งว่า จริงๆ แล้วจะโทษนายพายัพคนเดียวคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลดำเนินการอย่างไม่มีความเสมอภาค เนื่องจากรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณหลายคน กลับมีทีท่าว่าจะไม่ได้ถูกดำเนินการ มีแต่เฉพาะคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้น ที่ถูกดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง การที่นายพายัพออกมาให้สัมภาษณ์แสดงให้เห็นว่า เกิดความคับแค้นใจ และฉายภาพว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังดิ้นรน แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล ว่าจะดำเนินการเรื่องปราบปรามการทุจริตอย่างไร

“อย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า การมาตามหาเรื่องคอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะกฎหมายในอดีตได้ถูกแก้จากผิดให้เป็นถูก การจะจัดการจึงทำได้ยากลำบาก แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอายัดทรัพย์และตรวจเช็คเรื่องการเสียภาษีย้อนหลัง เอาทรัพย์สินเป็นตัวตั้ง และขอดูใบเสียภาษีของแต่ละคน เพื่อพิสูจน์ว่า มีรายได้สอดรับกันหรือไม่ หากแต่ละคนพิสูจน์ได้ก็จบ ถือว่าแฟร์ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน และดำเนินคดี หากดำเนินการเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครมาต่อว่าได้ และนายพายัพหรือใครก็คงมาว่าไม่ได้ว่า มีการเลือกปฏิบัติ”นายเอกยุทธกล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น อย่างตนเคยบอกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสถานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปไหนก็มีเครื่องบินส่วนตัว แถมได้รับการต้อนรับจากหลายๆประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะระงับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณได้ก็คือ การอายัดทรัพย์เพื่อมาพิสูจน์ โดยนำประเด็นเรื่องการเสียภาษีมาเป็นตัวตั้ง เพราะต่างประเทศจะกังวลมาก ในเรื่องที่คนโดนกล่าวหาเรื่องการเลี่ยงภาษี ใครที่กล้ารับประกันจะเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาได้ เรามัวแต่ไปคิดว่า เขามีเงิน 7.3 หมื่นล้านในไทย แต่จริงๆ แล้ว เขามีเงินเป็นแสนล้านบาท และอยู่ในต่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีและตลอดเวลา ส่วนที่มีคนปล่อยข่าวว่า ทักษิณจะไปซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพื่อหากระแสและไม่ให้ตกข่าวเท่านั้น

ส่วนกรณีที่ล่าสุดพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการเดินทางไปดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะมีการจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำธุรกิจของตะวันออกกลางและเอเชีย ระหว่างวันที่ 21-22 พ.ค. ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะไปพบกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากมีภาพออกไปว่า พล.อ.สุรยุทธ์มีการพบปะกับพ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้เกิดความเสียหาย และกลายเป็นเป้าให้ถูกโจมตีได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้พล.อ.สุรยุทธ์เฝ้าระวังด้วยว่า ในระหว่างที่จะเดินทางไปเยือนประเทศจีน ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ตัวพ.ต.ท.ทักษิณก็จะเดินทางไปเยือนจีนเช่นกัน โดยพ.ต.ท.ทักษิณจะไปร่วมงาน Asian Forum และเขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวปาฐกถาด้วย ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกันพอดีกับที่พล.อ.สุรยุทธ์จะเดินทางไปเยือนจีน ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีการจัดฉากให้ไปเจอกันที่นั่นก็ได้

Wednesday, April 25, 2007

'บรรณวิทย์'ร้องคตส. ฟัน“ทักษิณ”โกงสุวรรณภูมิหมื่นล้าน

http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/26/WW10_WW10_news.php?newsid=66128

26 เมษายน พ.ศ. 2550 14:15:00

“บรรณวิทย์-ประพันธ์”บุก คตส.สอบทุจริตอาคารที่พักผู้โดยสาร แฉ “ทักษิณ” สั่งแก้ไขสัญญา พร้อมมอบหลักฐานมัด “แม้ว” มีลายเซ็นสั่งบอร์ด ทำรัฐเสียหายให้กับรัฐกว่า 1 หมื่นล้านบาท


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เมื่อเวลา 09.30 น.พล.ร.อ. บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขปัญหาท่าอากาศสุวรรณภูมิ พร้อม นายประพันธ์ คูณมี ประธานอนุกรรมการตรวจสอบสัญญาก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน หลังตรวจพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น

ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือว่า ได้มีการหารือร่วม กับนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.พร้อมทั้งได้รายงานผลการตรวจสอบโครงการ โดยพบว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีความผิดตั้งแต่การประมูล การพิจารณาแก้ไขแบบ โดยรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขแบบเองโดยไม่ใช้อำนาจของกรรมการบอร์ด และนำแบบที่ได้ไปประมูล พร้อมสั่งให้บอร์ดทำสัญญาจ้างโดยที่ไม่มีอำนาจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัทเอกชนที่ประมูลงานได้ จึงผิดทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ กฎหมายฮั้ว และผิดที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท และที่สำคัญ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เป็นวันเดียวกับที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

นายประพันธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม. ยังมีเจตนาแก้ไขสัญญาที่อัยการตรวจแล้ว เพื่อลดความรับผิดให้ผู้รับเหมา เช่น การประกันภัย การรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่อง เท่ากับลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมา ทำให้รัฐไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ ที่สำคัญโครงการนี้ถือเป็นสัญญาหลักของโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ

“สำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบในโครงการนี้ ประกอบด้วย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกรรมการบอร์ด ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายศรีสุข ที่เป็นคนขีดฆ่าสัญญาความผิดของบริษัทเอกชนทิ้ง หลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อิตาเลียนไทย โดยอนุกรรมการฯ ได้มอบหลักฐานทั้งหมดให้กับ คตส. แล้ว ซึ่งในเอกสารมีการลงนามของ พ.ต.ท. ทักษิณ สั่งให้บอร์ดไปจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย เพียงบริษัทเดียว ทั้งๆ ที่ฝ่ายกฎหมายได้มีการทักท้วงแล้วว่าไม่ควรจะมีการแก้ไขสัญญาทำให้รัฐเสียหายแต่ไม่เป็นผล จนทำให้บอร์ดบางคนรับไม่ได้ถึงขั้นลาออก ซึ่งในขณะนั้นแม้แต่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิทธ์ ในฐานะบอร์ดก็ไม่เห็นด้วย ” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.อ. บรรณวิทย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เป็นโมฆะนั้น ได้รับคำแนะนำจาก นายแก้วสรร ว่า ควรแยกคดีแพ่งกับอาญาออกจากกัน โดย คตส. เห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดทางอาญาจริง และจะรับไว้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนคดีแพ่งควรให้ บริษัท การท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทำเรื่องขอเลิกสัญญาไปกับกระทรวงคมนาคมได้เลย ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีหน้าที่โดยตรงในทางแพ่ง ที่จะยกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย รวมถึงการทำสัญญาตรง ทั้งนี้ในฐานะเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ทอท. อยู่แล้ว จึงจะนำเรื่องนี้หารือกับบอร์ด เพื่อให้ดำเนินการตามที่ คตส. เสนอแนะ

ด้าน นายสัก กองแสงเรือง โฆษก คตส. และอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการปล่อยกู้ให้กับประเทศพม่าของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือ ธสน. เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุกรรมการยังไม่ได้สรุปผลการตรวจสอบ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบวงเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านบาท หลังพบว่าสัญญาสุดท้ายที่ทำร่วมกันวงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งกรอบเริ่มต้นอยู่ที่ 3,000 ล้านบาทว่าเพิ่มจากสาเหตุใดและอยู่ในหลักการเดิมที่เคยตกลงไว้หรือไม่ นอกจากนี้อนุกรรมการจะพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับกิจการโทรคมนาคมด้วยหรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่ในกรอบแรกที่คุยกัน ส่วนจะมีการผลักดันเป็นพิเศษจากฝ่ายการเมืองในเรื่องกิจการโทรคมนาคมหรือไม่อนุกรรมการยังไม่ได้สรุป จึงไม่ขอให้ความเห็นเพราะอาจเกิดความเสียหาย

Thursday, April 12, 2007

หวยบนดินห้ามนิรโทษกรรม รบ.ชุดเก่า

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124053&NewsType=1&Template=1

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 เม.ย. ที่กระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัมมาร สยามวาลา และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมทั้งหมด 4 คน เข้าพบเพื่อผลักดันให้กระทรวงการคลัง นำกฎหมายการขายหวยบนดิน เข้าสู่การประชุม สนช.โดยเร็วว่า ข้อเสนอของสนช.ทั้งหมด เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ซึ่งตนจะพิจารณารายละเอียด ร่างกฎหมายที่กระทรวงการคลัง ดำเนินการให้ชัดเจน และรอบคอบ ก่อนนำเสนอให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดทั้งหมด รวมถึงข้อเสนอของสนช.ด้วย เพราะมีทางเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป ในหลายแนวทาง โดยยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศ ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง แต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยก่อนหน้านี้ มีสมาชิกของ สนช. เป็นจำนวนมาก ที่เห็นด้วยให้มีหวยบนดิน พร้อมเสนอแนวทางต่าง ๆ ให้พิจารณา โดยเฉพาะการให้นำหวยบนดิน เข้ามาตรา 22 ของกฎหมายสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2517 ที่กำหนดให้จัดสรรเงิน 60% ที่ได้จากการขายหวย เป็นเงินรางวัล พร้อมจัดสรรเงิน 28% นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ และอีก 12% ให้จัดสรรเป็นค่าบริหารจัดการ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายสำนักงานสลากฯ แต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้การเดินหน้า ในเรื่องนี้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการนิรโทษกรรม ให้กับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา.

สมัคร-ดุสิต เจอคุก 24 เดือน

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124054&NewsType=1&Template=1

ศาลไม่รอลงอาญาคดีหมิ่น สามารถ

สมัคร-ดุสิต เจอศาลสั่งจำคุกคนละ 24 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ออกรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' กับ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' จ้อ มีผู้รับเหมาถอยบีเอ็มป้ายแดงให้ ศาลระบุเหตุผลสั่งจำคุกเด็ดขาด 'ชมพู่' เคยหมิ่นคนอื่นมาหลายครั้งให้โอกาสกลับตัวมาตลอด แต่ยังทำผิดซ้ำซากอีก '2 คู่หู' ใช้เงินสดคนละ 2 แสนประกันตัวไป ด้าน 'สามารถ' ดีใจสังคมได้ทราบเรื่องจริง แจงทั้งคู่เตรียมเจอ 'เด้งสอง' คดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายร้อยล้านอีกเร็ว ๆ นี้

ที่ห้องพิจารณาคดี 34 ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่าระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ 'เช้าวันนี้ที่ช่อง 5' และรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยวันที่ 12 ม.ค. 2549 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า 'มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯ ซีรีส์ 7 โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้' ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน

ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 2549 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพ มหานคร 10 โครงการ มันกินกัน 12-13 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ในวันที่ 17 ม.ค. 2549 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า 'ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเปก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่าใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง' และข้อความอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวง-เขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน

การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่า โจทก์ เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่า ผู้บริหารกรุงเทพมหานครคือโจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่ามีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่าง ๆ นอกจากนี้โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเอง โดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า โครงการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ภายหลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราช ทัณฑ์ได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมไว้ในห้องพิจารณาคดีที่ 15 ระหว่างนี้นายสมัครกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ต้องยื่นอุทธรณ์แน่นอน ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ระหว่างอุทธรณ์คดีโดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ปรึกษา ผู้ว่าฯ กทม. อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.โจทก์คดีนี้กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้พิสูจน์ให้สังคมทราบว่าตนไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกทั้งสองกล่าวหา นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นฟ้องทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาทด้วย คาดอีกไม่นาน ศาลจะมีคำพิพากษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป.