Thursday, January 18, 2007

สื่อฮ่องกงแฉ 'ทักษิณ' จ้างบ.ล็อบบี้มะกัน

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=148905

19 มกราคม 2550

ฮ่องกง - หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกง นำเสนอข่าวหน้าหนึ่งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้ว่าจ้างบริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส บริษัทล็อบบี้ของสหรัฐ ซึ่งมีรัฐบาลหลายประเทศ รวมทั้ง อินเดีย กาตาร์ และไต้หวันเป็นลูกค้า

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อสิ่งพิมพ์ฮ่องกง ซึ่งไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข่าวระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้พบปะหารือกับนักล็อบบี้ของบริษัทดังกล่าว ที่ฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ด้านบาร์เบอร์ กริฟฟิธ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในวอชิงตัน ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นในรายงานดังกล่าว ทั้งบนหน้าเวบไซต์ของบริษัท ก็ไม่มีการระบุชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ในรายชื่อลูกค้าของบริษัท ที่รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่างซิตี้กรุ๊ป และบริษัทรถไฟแห่งชาติแคนาดา

บริษัทล็อบบี้แห่งนี้ มีนายเอ็ด โรเจอร์ส ซึ่งเคยทำงานที่ทำเนียบขาวสมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทั้งยังมีนายโรเบิร์ต แบล็ควิลล์ อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐร่วมทำงานอยู่ด้วย

Wednesday, January 17, 2007

อดีตทูตอาวุโสจวก"พ.ต.ท.ทักษิณ"นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม

http://www.innnews.co.th/around.php?nid=17618

หนังสือพิมพ์ Today ซึ่งเป็นสื่อของสิงคโปร์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2550 ได้รายงานข่าวที่มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า นายกีชอร์ มาห์บูบานิ อดีตนักการทูตอาวุโส และผู้อำนวยการโรงเรียนลี กวน ยิว ซึ่งพูด ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นธรรมกับสิงคโปร์ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิงคโปร์ไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเมตตาต่อสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ก็ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

Tuesday, January 16, 2007

ใช่...คนไทยก็กำลังบอกทักษิณ"Enough is enough"

http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=148134

คำว่า "Enough is enough" ที่ทักษิณ ชินวัตร พูดในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันจันทร์ จากสิงคโปร์ นั้นถ้าแปลจากความหมายของเจ้าตัวเองก็คือการขอความเห็นใจ และความสงสารจากคนอื่น

แปลว่าทำอะไรมามากพอแล้ว ได้เวลาจะหยุดแล้ว

แต่ถ้าประธาน คมช. พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หรือนายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนอุทานวลี "Enough is enough" กับทักษิณ ละก้อ ความหมายจะออกไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง

แปลว่านายกฯ คนปัจจุบันกำลังบอกกับอดีตนายกฯ ว่า "พูดจาสร้างกระแสคลื่นใต้น้ำในประเทศจากข้างนอกพอแล้ว หยุดการกระทำอันไม่พึงประสงค์เช่นนั้นได้แล้ว"

ถ้าคำนี้มาจากประชาชนคนไทยต่อทักษิณ ก็แปลว่าคนไทยต้องการให้ทักษิณ หยุดทำตัวเป็นนกขมิ้นที่ทัวร์อย่างเศรษฐี บินไปโน่นมานี่เพื่อจะทำตัวเป็นผู้ยั่วยุให้บ้านเมืองไทยวุ่นวายใจไม่หยุด

ถ้ารัฐบาลไทยเรียกทูตสิงคโปร์ ประจำกรุงเทพฯ มาแล้วก็บอกว่ารัฐบาลของเขาควรจะต้องระงับการกระทำอันไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลไทยด้วยการยอมให้ทักษิณไปทำอะไรๆ ที่ก่อกวนรัฐบาลไทยอย่างนั้น และลงท้ายด้วยการกระซิบกับทูตสิงคโปร์ว่า "Enough is enough" ก็แปลว่าไทยเรากำลังใช้การทูตแบบขึงขังอย่างผู้มีจุดยืนชัดเจนขึ้น

สรุปว่าการที่ทักษิณ ลั่นคำว่า "Enough is enough" ในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น วันก่อนนั้นไม่ได้สะท้อนว่าเขาต้องการจะก้าวลงจากเวทีการเมืองหรือต้องการจะทำตัวเป็น "ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง" ที่จะไม่เป็นตัวการที่จะก่อความวุ่นวายในประเทศอีกต่อไป

เพราะคำว่า "enough" ของทักษิณนั้นไม่ได้แปลว่า "enough" ที่มีความหมายว่าพอจริงๆ...หากแต่เป็นการเล่นคำฝรั่งที่ตัวเองก็ไม่ได้สันทัดอะไรมากมายนัก

ทักษิณต้องการหลอกฝรั่งคนสัมภาษณ์ว่ากำลังจะ "วางมือ" จากการเมืองไทย แต่คนไทยที่ได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ที่ทักษิณทั้งแขวะ และต่อว่าต่อขานอีกทั้งยังอ้างว่าเคยมีความพยายามจะลอบสังหารเขาถึงสามครั้งสามคราก่อนถูกปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทักษิณ ก็ยังคือทักษิณ คนเดิม

คือพูดอะไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนเดิม...คือยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น...ปากบอกว่าเลิก แต่ใจยังทุรนร่านต้องการจะกลับมามีอำนาจ...ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องการเป็นนายกฯ อีก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังแค้นเคืองไม่หาย ต้องการจะเอาอำนาจ อิทธิพล และบารมีกลับคืนมาเป็นของตน และพรรคพวกอีก

เพราะถ้าทักษิณ ต้องการวางมือทางการเมืองจริงๆ เขาก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ด้วยการบอกผ่าน CNN หรือ The Asian Wall Street Journal ที่สิงคโปร์

จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองส่งผ่านทนายความให้คนไทยได้อ่านนั้นไม่ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะ "วางมือทางการเมือง" แต่ประการใด มีแต่ลีลาของการพยายามหาเสียง และขอคะแนนความนิยมจากคนไทยด้วยการแก้ไขทั่วไปมากกว่า

ภาพทางจอซีเอ็นเอ็น ระหว่างสัมภาษณ์ทักษิณ นั้น มีโลโก้ CNN Exclusive Interview เพื่อแจ้งว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษ และใต้ภาพทักษิณเขียนเป็นประโยคใหญ่อ่านได้ชัดๆ ว่า

Thai PM ousted amid charges of corruption" ซึ่งแปลว่า "นายกฯไทยที่ถูกขับไล่ท่ามกลางข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน"

นักข่าวฝรั่งอาจจะไม่ได้ทำการบ้านพอ หรือซีเอ็นเอ็นอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอ ที่จะมีการถามในสิ่งที่ควรจะถามทักษิณว่า
ที่เขาถูกขับไล่นั้นเพราะมีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลระดับสูงจนประชาชนคนไทยทนไม่ไหวต้องออกมาตะโกน

"Enough is enough" ไม่ใช่หรือ

Monday, January 15, 2007

คุณทักษิณอยู่ในเงามืดของ"คนลักษณ์ที่สาม"

Permalink : http://www.oknation.net/blog/adisak
Post by อดิศักดิ์

13 สิงหาคม 49

อาการเบื่อๆ อยากๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงการตรวจราชการภาคอีสาน มักจะเกิดขึ้นอย่างนี้แทบทุกครั้งเมื่ออยู่ในช่วงถูกแรงกดดันหนักๆ และมักจะ "เป็นเอามาก" ในช่วงฤดูติดสัดหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง นับตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาสู่วงการการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ลองสังเกตให้ดีว่าอาการแบบนี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว จนน่าจะกลายเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ "นักแสดง" ในการหาเสียงของคุณทักษิณ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวบ้านในระดับล่างๆ ที่คุณทักษิณรู้ว่ามักจะมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนที่ถูกรังแก

จึงไม่ควรจะไปให้น้ำหนักเชื่อถือในคำพูดของคุณทักษิณใดๆ ให้เสียเวลาเปล่า ว่าจะสู้หรือจะถอยเสียสละเพื่อประเทศชาติ

เพราะที่แน่ๆ คุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยน ในการคิดถึงตัวเองมากกว่าคิดถึงประเทศชาติ หลังจากถูกกดดันมากๆ ทั้งตัวเองและครอบครัว ได้ทำให้คุณทักษิณจำเป็นต้องคิดและพูดออกมาดังๆ ไปทั่วว่า หลังเลือกตั้งจะเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อลดแรงกดดันมากกว่าอยากจะทำจริงๆ

น่าจะเป็นการพูดแบบหลอกๆ มากกว่า เพราะยังอยากจะทำตัวเป็น "อีแอบ" อยู่หลังม่านทำเนียบเพื่อชักใยนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้ทำตามความต้องการของตัวเองที่มีความวิตกกังวลและความกลัวหลายอย่าง เช่น กลัวถูกเช็คบิลย้อนหลัง กลัวถูกยึดทรัพย์ เป็นต้น

เพราะทั้งหมดคือ "การแสดง" บทบาทหนึ่งของคุณทักษิณที่ถูกเขียนบทไว้ล่วงหน้าก่อนตัดสินใจทำหรือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งการเดินสายรอบใหม่ เป้าหมายตุนคะแนนสงสารไว้เพื่อจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายกับประเทศมากขนาดไหน

ตอนเช้าๆ เจอนักข่าว คุณทักษิณจึงมักจะออกลีลาบ่นปนตัดพ้อแถมด้วยคำพูดเหน็บแนมเสียดสี โทษสื่อไม่ให้ความเป็นธรรม แม้กระทั่งหายใจยังต้องระวังกลัวจะถูกจับผิด โทษคนอื่นว่าเอาแต่จ้องจับผิดจนทำงานไม่ได้ ขอร้องให้สมานฉันท์เพื่อชาติ อยากจะเว้นวรรคเต็มแก่แล้ว

ตอนบ่าย-เย็นเมื่อออกพบปะชาวบ้านที่มีทั้งถูกจัดฉากเกณฑ์มาต้อนรับและเดินทางมาด้วยใจจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น ผู้กำกับการแสดงจะเขียนบทให้คุณทักษิณปราศรัยในทำนองเดิมๆ ปลุกเร้าว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่เห็นใจคนจนเท่านี้ แล้วเริ่มทำเสียงอ้อนว่าถูกสื่อและพวกเสียประโยชน์รังแก ไม่อยากทำงานต่อไปแล้ว อุตส่าห์เสียสละความสุขมาทำงานแต่กลับถูกโจมตี ทำให้ไม่อยากจะสู้ต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาเห็นชาวบ้านจำนวนมากมาฟังจะไม่ยอมแพ้ไม่เว้นวรรคอีกแล้ว

จากนั้นจะถึงฉากสำคัญทุกครั้งเมื่อคุณทักษิณเดินสายปราศรัยต่างจังหวัด คนเฒ่าคนแก่จะโผมากอดเอวคุณทักษิณจับมือเขย่าๆ ขอให้สู้ต่อไป

เมื่อคุณทักษิณถูกกอดหอมแก้มจากผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะพยายามแสดงสีหน้าฉีกยิ้มให้กว้างๆ เข้าไว้ เพราะผู้กำกับบอกบทมาแล้วว่าภาพเชิงบวกอย่างนี้จะไปปรากฏในสื่อโทรทัศน์ทุกช่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณทักษิณดูติดดินและน่าเห็นใจมากขึ้น คะแนนนิยมจะขยับขึ้นในชนบทมากกว่าการลดลงในเขตเมืองทุกครั้ง

ตกค่ำยามดึกสังสรรค์ในวงคนแวดล้อม อาการของคุณทักษิณจะกลับกลายไปเป็นอีกคนอย่างไม่น่าเชื่อในหูและสายตา

คุยโม้คุยโตไทยคำ-ฝรั่งสองคำถึงวิชั่นหลุดโลก คำพูดคำจามักจะมีถ้อยคำหยามคู่แข่งขันทางการเมืองว่าไม่ได้อยู่ในสายตา ออกอาการเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเหลือล้นว่าไม่มีใครฉลาดเท่าอีกแล้ว

บางทีมีคำพูดแรงๆ พาดพิงไปถึงบุคคลระดับสูงของสังคมที่มีน้ำเสียงเย้ยหยันถากถางแกมอิจฉา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหลายๆ คน ที่เป็นความใฝ่ฝันเดิมของคุณทักษิณที่อยากจะเป็น "รัฐบุรุษ" เช่นกัน

สังคมไทยที่ยังพอมีผู้มีปัญญาหลงเหลืออยู่ คงจะมองเห็นพฤติกรรมอาการแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ทวีความหนักข้อขึ้นทุกวัน จึงเกิดความวิตกกังวลไปทั่วว่าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร หากคุณทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง

แม้ว่ากระบวนการตุลาการภิวัตน์จะสะสางปัญหาได้ระดับหนึ่งในการลงโทษคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 คนถึงขั้นจำคุก แล้วสรรหาบุคคลที่ได้รับการยอมรับ 10 คนส่งให้วุฒิสภาเลือกเป็น กกต.ชุดใหม่

แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงแบ่งประเทศกันแล้ว ระหว่างคนอีสาน-เหนือชอบ กับคนกรุงเทพฯ-ใต้เกลียดคุณทักษิณ คงไม่มีทางหมดลงไปอย่างแน่นอนหลังเลือกตั้ง

เพราะ กกต.ชุดใหม่คงจะทำหน้าที่อำนวยการเลือกตั้งให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรมได้เท่านั้น แต่จะยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมรุนแรงขึ้นไปอีก

เพราะกลุ่มเชียร์คุณทักษิณได้ถูกอำนาจตุลาการลงโทษไปแล้วแต่กำลังซุ่มซ่อนหาทางตีโต้คืนในเร็ววัน เพื่อรักษาอำนาจให้คุณทักษิณที่แสดงตัวว่าถูกรังแกจากอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ

ผมจึงกลับไปอ่านหนังสือ "เอ็นเนียแกรม : ศาสตร์เพื่อความเข้าใจตนเองและผู้อื่น" ที่คุณวาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ The Enneagram : Understanding Yourself and the Other in Your Life ที่ว่าด้วยการอธิบายบุคลิกลักษณะและการแสดงออกของมนุษย์ที่มีอยู่ 9 ลักษณ์

ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของคุณทักษิณในช่วงชีวิตธุรกิจและการเข้าสู่ชีวิตการเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณทักษิณที่ถูก "รู้ทัน" จับผิดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากขายหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้านบาท ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์

น่าจะสอดคล้องกับความเป็นลักษณ์ที่สามมากที่สุดคือ นักแสดง (The Performer) ที่มักจะสร้างผลงานและความสำเร็จเพื่อให้เป็นที่รัก ชอบการแข่งขัน ยึดติดกับภาพลักษณ์ของผู้ชนะ และการเปรียบเทียบสถานะกับคนอื่น มีบุคลิกภายนอกที่เป็นเลิศ บ้างาน ชอบทำงานแข่งกับเวลา

คนลักษณ์ที่สามมักสับสนระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับบทบาทในหน้าที่การงาน จนอาจจะดูมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นจริง

เขามักจะพยายามปรับเปลี่ยนบุคลิกและการแสดงตนเหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เพื่อสร้างคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการทำงานให้สำเร็จ จดจ่อกับงานหรือปฏิกิริยาของคนอื่นต่องานของตนเอง ปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติได้ ก่อนที่จะใช้ความคิดตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่คนลักษณ์นี้มักจะมีปัญหารุนแรงที่ออกอาการทุกข์ทรมานจากนิสัยการหลอกตัวเองและผู้อื่น ด้วยการแสดงภาพลักษณ์ที่ทำให้ตนเองเป็นที่นับถือ เช่น คนบ้างาน เป็นต้น

เขาจะดูเป็นคนสมัยใหม่อย่างมาก มุ่งมั่นในความสำเร็จ มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีชีวิตชีวาและชอบการแข่งขัน ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี ไม่มีวี่แววความทุกข์และอาจไม่เคยรู้ตัวเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่าเขาไม่ได้เข้าถึงตัวตนแท้จริงภายใน

แต่คนลักษณ์นี้มักอิงตัวเองอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ วัดคุณค่าตัวเองด้วยจำนวนรายได้ต่อปี เขาอาจรู้สึกเบื่อแทบตายกับงานที่ทำอยู่ แต่ตำแหน่งที่หรูหราประทับใจ สามารถชดเชยความรู้สึกนี้ได้

ในส่วนของความสามารถพิเศษในการปรับตัวของเขาจะเป็นทั้งคุณและโทษในตัว

ที่เป็นคุณคือ เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้อยู่ภายใต้ภาวะความกดดัน แต่หากมีมากเกินไปในแบบที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะกลับกลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณถูกต่อต้าน คุณทักษิณยิ่งดันทุรังหนักข้อ ทำให้สังคมแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ทุกวันนี้

คนลักษณ์นี้ที่เป็น "นักแสดง" ยังมีความสามารถในการหยิบฉวยโอกาสใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ไปตามบทบาทใหม่ จะทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

นอกจากนี้ คนลักษณ์ที่สามมักจะต้องการเป็นผู้มีอำนาจ

ด้านดีคือ จะเป็นแบบอย่างของผู้บังคับบัญชาที่อุทิศตัวและเป็นศูนย์รวมของคนอื่น เขาทุ่มเทตัวเองกับงานอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น สามารถจัดการปัญหายุ่งๆ เฉพาะหน้าได้ดีด้วยทัศนคติที่ว่า ทำไปก่อน ทุกอย่างแก้ไขได้ตอนหลัง สามารถกระตุ้นคนอื่นให้กล้าทำ กล้าเสี่ยง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ได้

แต่ด้านไม่ดีของความต้องการมีอำนาจ คือ มักจะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเข้าควบคุม ลัดขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งจะส่งผลให้งานมีคุณภาพลดลง

น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับคุณทักษิณที่ปล่อยให้ด้านมืดของความเป็นคนลักษณ์ที่สามเข้าครอบงำจนหมดสิ้นกลบด้านดีของตัวตนคุณทักษิณไปจนหมด

ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า ถ้าหากคนในลักษณ์ที่สามอย่างที่คุณทักษิณเป็นอยู่ จะมีระดับในทางบวกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จะสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ เจรจายื่นข้อเสนอได้ดี เป็นผู้สนับสนุนหรือผลักดันสิ่งต่างๆ ได้ดี เป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จ

แต่อาการป่วยทางจิตของคุณทักษิณกำลังอยู่ในขั้นรุนแรงแบบเดียวกับที่อาจารย์หมอประเวศ วะสีบอกว่าป่วยเป็น "โรคสมองตกบ่วง" ที่มีอาการเก็บกดจากความดันทุรังของตัวเอง หลงยึดติดกับอำนาจที่เป็นหัวโขน การปฏิเสธความจริงจากฝ่ายตรงกันข้าม การหลงตัวเองว่าประสบความสำเร็จมากจนไม่ต้องฟังใครทำให้หลงทางกู่ไม่กลับ การโทษแต่ผู้อื่นไม่เคยโทษตัวเองว่าเป็นต้นตอของปัญหา เป็นต้น ได้ทำให้ด้านดีของคนลักษณ์ที่สามที่มีความมุ่งมั่น บ้างาน ชอบแข่งขัน ถูกทำลายไปจนสิ้น

สังคมไทยจึงจำเป็นต้องหาทางให้ "ผู้นำที่ป่วยทางจิต" ลงจากอำนาจโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นอันตรายจะเกิดขึ้นจากความพยายามของเขาที่ทุ่มเทเพื่อเอาชนะทุกคนในทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นมาจากด้านมืดของการเป็นคนลักษณ์ที่สามของคุณทักษิณ

รองนายกฯสิงคโปร์พบกับทักษิณ...ภาษาการทูตเรียกว่า"หยาบคาย"

กรุงเทพธุรกิจ
16 มกราคม 2550

จะเป็นเรื่อง "ทางการ" หรือ "ไม่ทางการ" ก็ตาม หากรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส.จายากูมาร์ ให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบเพื่อ "ปรึกษาหารือกัน" ระหว่างที่อดีตนายกฯ ไทยคนนี้อยู่สิงคโปร์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อรัฐบาลไทย อย่างไม่ต้องสงสัย

สะท้อนด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์ "แคร์" ต่อความรู้สึกของคนไทยในกรณีเทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลของทักษิณ จนกลายเป็น "วิกฤติการเมือง" ของไทยมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม บอกนักข่าวที่ เซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนว่า "เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ เพราะทางสิงคโปร์ได้เกริ่นให้นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ของไทยทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป และบอกว่าการพบกันจะไม่เป็นทางการ..."

แน่นอนว่ารองนายกฯ ของประเทศหนึ่งจะพบกับอดีตนายกฯ ของอีกประเทศหนึ่ง "อย่างเป็นทางการ" ย่อมจะไม่มี

ถ้าทักษิณ พบรองนายกฯ สิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" ซิจะเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ เพราะอดีตผู้นำประเทศไหนจะไปพบกับผู้นำของประเทศอื่นอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องอะไรได้เล่า

ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณพบกับรองนายกฯ ของสิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" หรือไม่...แต่อยู่ที่ว่า "พบกัน" ทำไม

หาก ทักษิณ เป็นคนไร้มารยาทการทูต ไม่สนใจกติกาสากลว่าด้วยประเพณีการติดต่อระหว่างประเทศ เพราะมี "วาระซ่อนเร้น" เฉพาะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่รัฐบาลสิงคโปร์ ควรจะต้องสำนึกในความละเอียดอ่อนของการที่ปล่อยให้ทักษิณ "เพ่นพ่าน" กับระดับผู้นำของเขา เพราะนั่นย่อมแสดงว่าระดับรัฐบาลสิงคโปร์ ยังไม่สำนึกว่าได้สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์กับไทยเพราะเรื่องเทมาเส็ก และชินคอร์ป อย่างไรเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ

สิงคโปร์ ประเมินการเมืองไทยช่วงทักษิณเป็นใหญ่ผิดพลาด จนกลายเป็นวิกฤติสำหรับความน่าเชื่อถือของตัวเอง แล้วยังไม่สำเหนียกว่าจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและอย่างจริงจัง เพื่อเอาตัวเองรอดจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกกับกฎหมายไทยที่ผูกพันกับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทุกขั้นตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกี่ยวกับเรื่องเทมาเส็ก กับ ชินคอร์ป นั้น ผิดแล้วผิดอีก พลาดแล้วพลาดซ้ำเหมือนจงใจจะไม่แก้ไขไม่เยียวยาปัญหานี้กับไทยเลยแม้แต่น้อย

ทักษิณ ในฐานะนักท่องเที่ยวในสิงคโปร์ กับ ทักษิณ ในฐานะผู้ขอเข้าพบรองนายกฯ สิงคโปร์ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...และรัฐบาลไทยจะต้องแสดงจุดยืนที่ไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ในเรื่องนี้ อย่างชัดเจน

ต้องไม่ลืมว่าทักษิณ กับ เทมาเส็ก (ที่อยู่ใต้กระทรวงการคลัง ของรัฐบาลสิงคโปร์และมีเมียนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด) นั้น มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ และเทมาเส็กวันนี้กำลังมีปัญหาหลายด้านในประเทศไทย การที่รองนายกฯสิงคโปร์ พบปะกับอดีตผู้นำไทยเสมือนหนึ่งทุกอย่างเป็นปกตินั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

สังเกตไหมครับว่าตลอดเวลาที่ทักษิณอยู่ปักกิ่งนั้น ไม่เคยมีข่าวปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ของจีน จะยอมให้ทักษิณเข้าพบเลยแม้แต่น้อย

นี่คือ ความแตกต่างของท่าทีของมิตรประเทศที่มีระดับความจริงใจและการเคารพในความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดแจ้ง

สิงคโปร์ไม่เข้าใจหรือว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไทยจึงยกเลิก "หนังสือเดินทางสีแดง" ของทักษิณ และของเมีย

สิงคโปร์ ไม่รู้จักคำว่า "เกรงใจ" ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่า "เสียมารยาททางการทูต" และ "ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ" ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องได้รับคำประท้วงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศไทย

ข่าวล่าสุดบอกว่าทักษิณบินออกจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์...จะไปขอพบรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนไหนอีก เพื่อ "ยังทำตัวอยู่ในข่าว" หรือไม่ ต้องคอยดู...แต่เชื่อเถอะว่า มารยาททางการทูตของญี่ปุ่นนั้นเหนือชั้นกว่าสิงคโปร์มากมายหลายขุมนัก

เพราะวิถีการทูตของจีนและญี่ปุ่นนั้น เขายึดหลักของความถูกต้องชอบธรรมเป็นเกณฑ์ ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ "หลับหูหลับตาทำมาหากิน" อย่างเดียว

Saturday, January 13, 2007

ตั้งอนุไต่สวน"ซีทีเอ็กซ์"ผิดชัด แม้ว-คงศักดิ์ สุริยะ-ศรีสุข ข้อหาละเว้นฯ

เดลินิวส์
14 มกราคม 2550

เฉ่ง “สรรพากร” พลาดตอบหนังสือ “เด็กพจมาน” ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เกี่ยวข้อง “วิโรจน์”ประสาน “หม่อมอุ๋ย” ชลอประเมินภาษีหวั่นพลาด คตส.พร้อมตั้งอนุไต่สวนซีทีเอ็กซ์ เตรียมล่อยกแก๊ง “แม้ว-สุริยะ-คงศักดิ์-ศรีสุข” ฐานเป็นตัวการ-ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โทษสูงสุดคุก 10 ปี ขณะที่กล้ายางไม่น้อยหน้า ชงตั้งอนุไต่สวนเชือดตั้งแต่เจ้ากระทรวง “เสี่ยจ้อน” แฉอีก ปูดแก๊งก์เจ๊ฮุบโครงการเขตปลอดอากรใน “สุวรรณภูมิ” แฉขั้นตอนขบวนการตั้งบริษัทผี โวเดินหน้ายื่นหลักฐานเด็ดมัด “เจ๊แดง”

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. นายบรรเจิด สิงคะ เนติ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุตรวจสอบได้รวบรวมพยานหลักฐาน และสรุปข้อมูลได้ชัดเจนแล้วว่ามีการทุจริต ซึ่งอนุกรรมการตรวจสอบจะเสนอให้ตั้งอนุไต่สวนที่คาดว่าน่าจะมาจากอนุกรรมการตรวจสอบชุดเดิมในวันจันทร์ที่ 15 ม.ค.นี้ ส่วนจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงเกี่ยวข้อง หรือไม่คงยังไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับที่ประชุม

รายงานข่าวแจ้งว่า อนุตรวจสอบกล้ายางฯ ได้ตั้งประเด็นการสอบออกเป็น 3 ประเด็น คือ ตรวจสอบเพื่อเอาผิดในระดับนโยบายข้าราชการและบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูล โดยก่อนหน้านี้มีการวิตกกังวลว่า หลักฐานอาจจะสาวไม่ถึงนักการเมือง จะเอาผิดได้เพียงข้าราชการและบริษัทเอกชนเท่านั้น อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมเพื่อสรุปผลการทำงานล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา อนุตรวจสอบฯ สามารถสรุปผลเพื่อเอาผิดนักการเมืองได้แล้ว ไล่ไปตั้งแต่นัก การเมืองระดับเจ้ากระทรวงฯ ลงไปจนถึงอธิบดีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ บ.เอกชน

อีกด้าน หลังจากที่นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ชี้แจงการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น กับ บจก.แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ ต่อคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตนไม่ได้สั่งให้นางปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน ทำหนังสือสอบถามเรื่องการเสียภาษีไปยังกรมสรรพากรนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบฯ กล่าวว่า ในส่วนของกรมสรรพากรไม่น่าที่จะไปตอบคำถามดังกล่าว เพราะนางปราณีสอบถาม โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการซื้อขายหุ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดของกรมสรรพากร

เมื่อถามว่านายสมหมาย ภาษี รมช. คลัง ระบุกรมสรรพากรไม่สามารถประเมินภาษีได้ เพราะต้องรอผลสอบของ คตส.ก่อน นายวิโรจน์ กล่าวว่า คตส. คงไม่มีอำนาจสั่งการกระทรวงการคลัง แต่ที่นายสมหมาย ออกมาพูดอย่างนี้อาจเป็นเพราะว่า ตนได้เข้าพบ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รมว.คลัง และแจ้งให้กรมสรรพากรชะลอการประเมินภาษีไปก่อนเพื่อให้รอผลสรุปของ คตส. เพราะคิดว่าเมื่อสอบปากคำของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เสร็จคณะอนุกรรมการตรวจสอบจะสามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้เลย ซึ่งจะทำให้ชัดเจนว่าการประเมินภาษีควรใช้ประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (2) หรือ (8)

แหล่งข่าวจาก คตส. กล่าวถึงความคืบหน้าในการเตรียมตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ว่า ในวันจันทร์ที่ 15 ม.ค. นี้คาดว่าจะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน เนื่องจากมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว เบื้องต้นหลังจากที่มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้วจะเป็นขั้นตอนการตั้งข้อกล่าวหา และต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยคดีนี้ถือเป็นความผิดทางอาญาในมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 83 ฐานเป็นตัวการที่ทำให้รัฐเสียหายซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหารวม 23 คน

โดย 4 คนคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ในฐานะอดีตกรรมการบริหาร ทอท. และนายศรีสุข จันทรางศุ อดีตประธานบอร์ด บทม. ที่จะถูกดำเนินคดี 2 กระทง คือ 1. ในช่วงการทำสัญญากับไอทีโอ ได้มีการปฏิบัติตามสัญญานั้น ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว และ 2. ในช่วงบริษัท จีอี อินวิชั่น ไม่ขายผ่านตัวแทน ได้มีการซื้อขายโดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง ถือว่าผิดเช่นกัน แต่ในส่วนนี้ยังอยู่เพียงแค่การชี้มูลเท่านั้น ซึ่งในส่วนผู้ถูกกล่าวหา 23 คนนั้น คงไม่มีการกันใครเอาไว้เป็นพยานแน่นอน

ทั้งนี้ในมาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนมาตรา 83 ระบุ ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นาย อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต ปชป. แถลงว่า จากการติดตามตรวจสอบโครงการบริหารเขตปลอดอากรและศูนย์โลจิกติกส์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ได้ว่าจ้าง บจก. ไทย แอร์พอตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส (แทกส์) โดยร่วมลงทุนกับ ทอท. ลงนามในสัญญาวันที่ 28 เม.ย. 2549 เป็นระยะเวลา 10 ปี

พบว่าการว่าจ้างดังกล่าวไม่มีการประมูลเพื่อให้เกิดการแข่งขัน และยังพบหลักฐานที่เชื่อได้ว่าบริษัท แทกส์ ถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท โฟรบิชเซอร์ ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ที่เข้ามากว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของแทกส์ถึงร้อยละ 48.5 ที่สำคัญ มีการโยงใยถึงแก๊งเจ๊คนหนึ่งที่ได้วางแผนปล้นชาติด้วยการยักยอกเงินออกจากแทกส์ ตั้งแต่ปี 2547-2548 แล้วนำเงินนี้ย้อนกลับมาซื้อหุ้นใหญ่ของแทกส์ ซึ่งน่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ แทกส์ไม่เคยได้รับงานในสนามบินสุวรรณภูมิเลย แต่เมื่อบริษัท โฟรบิชเซอร์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แทกส์ ทำให้ได้งานในสนามบินแห่งนี้โดยไม่ต้องแข่งขัน

"น่าตกใจตรงที่หลักฐานการจดทะเบียบของบริษัท โฟรบิชเซอร์พบว่าเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการต่ำกว่าร้านบะหมี่ในประเทศไทยเสียอีก โดยระบุผลประกอบการในปี 2546 ว่ามีรายได้แค่ 120 บาท และปี 2547 มีรายได้แค่ 100 บาท แต่เมื่อช่วงปลายปี 2547 กลับมีเงิน 198 ล้านบาท มาซื้อหุ้นบริษัท แทกส์ ได้ จึงน่าแปลกใจมากว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน" นาย อลงกรณ์กล่าวและว่า จากการตรวจสอบผู้ถือหุ้นบริษัท โฟรบิชเซอร์ พบว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นคนสิงคโปร์และคนไทย ซึ่งจากการไปตรวจสอบเลขที่บ้านของผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทยพบว่าเป็นบ้านร้าง แต่ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งไปแล้ว จึงเชื่อว่าผู้ถือหุ้นรายนี้เป็นนอมินีทำการแทนไอ้โม่งหรืออี โม่งอย่างแน่นอน

นอกจากนี้พบว่าบริษัท แทกส์ได้ว่าจ้างบริษัท ดีเทค เป็นบริษัทที่ปรึกษาโครงการมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท แต่ทำงานที่ปรึกษาแค่ 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งบริษัทนี้จดทะเบียนในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น และมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบริษัท โฟรบิชเซอร์ เพราะบริษัท ดีเทค และบริษัท โฟรบิชเซอร์ มีที่ตั้งอยู่เลขที่เดียวกันในสิงคโปร์ เพื่อใช้ในการติดต่อ และทำธุรกรรมต่าง ๆ

"ผมมีคำถามว่า ทอท. ที่มีบอร์ดไปเป็นกรรมการบริษัท แทกส์ อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้าง บริษัท ดีเทค ได้อย่างไร เพราะเป็นการปู้ยี่ปู้ยำงบประมาณ ดังนั้นในวันที่ 17 ม.ค.นี้ เวลา 11.00 น. ผมจะเดินทางไปยื่นหลักฐานให้ คตส. และขอให้ตรวจสอบบอร์ด ทอท. ที่มีนายศรีสุข จันทรางศุ เป็นประธานในขณะนั้นด้วย เพราะเป็นตัวแทนบอร์ด ทอท. ที่นั่งในตำแหน่งบริหารของแทกส์ที่เป็นบริษัทลูก รวมทั้งให้สอบผู้ที่เกี่ยวข้องที่เชื่อว่าเป็นนอมินีของเจ๊คนหนึ่ง มีชื่อว่า นาย ส. และ น.ส.ป. จากนั้นผมจะไปหารือกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการให้เป็นตัวอย่างด้วย" นายอลงกรณ์ กล่าว

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ ว่าร่ำรวยผิดปกติ และแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จนั้น ภายในสัปดาห์นี้ตนจะประสานกับคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ "การยื่นตรวจสอบกรณีร่ำรวยผิดปกติเป็นเพียงความผิดปลายน้ำ จึงจำเป็นจะต้องว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อจะได้ข้อเท็จจริงของกระบวนการโกงชาติ ตลอด 5 ปี ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ คาดว่าจำนวนเงินที่สูญเสียไปรวมถึงสิทธิในสัมปทานต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท"

Friday, January 12, 2007

"บุญรอด"อัด"แม้ว" จุดชนวน"ไฟใต้" รับหย่าศึกผิดตัว

รมว.กลาโหมเผยเจรจาหย่าศึกกลุ่มป่วนใต้ผิดตัว ไม่เป็นไปตามข้อตกลงยุติก่อเหตุ 7 วัน ยอมรับบีอาร์เอ็นถือไพ่เหนือกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร-ติดต่อไม่ได้ อัด"แม้ว"จุดชนวนไฟลุกโชน โจรใต้เย้ยทหาร บึ้มรถ จ.ส.อ.หน้าค่ายสิรินธร โฆษก ทบ.ออกโรงแจงตรวจพบเองก่อนทำลายทิ้ง อีกรายเผาธงชาติล่อทหารเข้าตรวจที่เกิดเหตุ กดระเบิดหวังสังหาร โชคดีแค่เจ็บเล็กน้อย 3 นาย@ "บุญรอด"อัด"แม้ว"ทำไฟใต้ลุกโชนพล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการทำงานของกระทรวงกลาโหมในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 12 มกราคมว่า สิ่งที่เป็นภารกิจหลักของรัฐบาลมี 3 ปัญหา คือ 1.ภัยพิบัติ 2.ปัญหาภาคใต้ และ 3.เรื่องความสมานฉันท์ ซึ่งการแก้ปัญหาภาคใต้เป็นสิ่งที่สื่อให้ความหวังว่าน่าจะสงบลงภายหลังที่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง และมีขบวนการที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้เงื่อนไขและไฟใต้ที่ถูกกลบอยู่ต้องลุกโชนขึ้นมา ดังนั้น การที่จะเข้าดับทันทีทำได้ยาก โดยปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่จากใช้ความรุนแรงหันมาใช้แนวสันติวิธีและสมานฉันท์ ซึ่งทุกอย่างเริ่มดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา @ ยอมรับเจรจาสงบศึก7วันแต่ผิดตัว"ขณะนี้เรากำลังให้ความสำคัญการพูดคุย นั่นคือผู้ที่ก่อความไม่สงบและใช้ความรุนแรงต่างๆ ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันที่ไม่ได้ทำในระดับรัฐบาล เป็นการพูดคุยระดับเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการพูดคุยผิดตัว ซึ่งการที่รู้ว่าผิดตัวเพราะได้ยื่นเงื่อนไขให้ยุติการก่อเหตุเป็นเวลา 7 วัน แต่ไม่สามารถทำได้ตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ซาตู พูโล ซึ่งกลุ่มที่กำลังก่อความรุนแรงในพื้นที่ขณะนี้คือ กลุ่มบีอาร์เอ็น ต้องยอมรับว่าขณะนี้เขาถือไพ่เหนือกว่า ใช้ความรุนแรงก่อเหตุต่อเนื่อง ขณะนี้เรายังไม่สามารถติดต่อได้ และไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่ว่าเป็นกลุ่มไหน ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่คุยกับเรา ตอนนี้ยังเจรจาไม่ถูกตัว" พล.อ.บุญรอดกล่าว

คตส.สอบเครียด เลขานุการคุณหญิงพจมาน นานกว่า 7 ชั่วโมง ประธานอนุกรรมการสอบมั่นใจข้อมูลกระจ่างคาดสรุปได้ภายในเดือนก.พ.

นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)เปิดเผยภายหลังจากนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าชี้แจงต่อคตส. เป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมงว่า นางกาญจนาภาได้ให้ข้อมูลทั้งในส่วนของการโอนและซื้อขายหุ้นรวมถึงการเสียภาษีจึงใช้เวลานาน แต่เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกรณีที่นายพานทองแท้ ชินวัตร ให้ข้อมูลเอาไว้ ซึ่งทำให้คณะอนุกรรมการได้ความกระจ่างในบางส่วน เพราะถือว่านางกาญจนาภา เป็นผู้ดำเนินการแทน แต่ก็คงต้องนำไปรวบรวมข้อมูลพร้อมกับการชี้แจงในวันอื่นต่อไป ในขณะที่นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ ระบุว่า นางกาญจนาภายืนยันว่าไม่ได้มอบหมายให้นางปราณีไปสอบถามกรมสรรพากรว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดนางปราณี ถึงไปสอบถามดังกล่าวทั้งนี้ คตส.ไม่จำเป็นต้องเชิญนางกาญจนาภามาชี้แจงอีก เนื่องจากการให้ข้อมูลครั้งนี้ทำให้ คตส.สามารถสรุปสำนวนคดีได้เร็วขึ้น โดยคาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ก.พ. ก่อนที่จะมีการเสียภาษีตามการประเมินประจำปี ซึ่งจะครบในเดือน มี.ค.

ประธานเครือข่าย " เตมูจิน " หอบข้อมูลบริษัท 7 แห่ง ที่เชื่อมโยงเหตุระเบิดป่วนกรุง ให้ เลขา ปปง.พร้อมเผย นายพลอักษรย่อ พ. เป็น อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.

นายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานเครือข่ายเตมูจิน ได้เดินทางเข้าพบเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปราบการฟอกเงินหรือ ปปง.เพื่อมอบเอกสารเกี่ยวกับบริษัท 7 แห่งซึ่งเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิด 8 จุดใน กทม.เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมาโดยนายชนาพัทธ์ บอกว่าอยากให้ปปง. ตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของบริษัททั้งหมดเพราะเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมยืนยันด้วยว่าพล.อ. อักษรย่อ พ. ที่ตนระบุว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ระเบิดเมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นอดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในไม่ใช่ทหารในสังกัดกองทัพบก นอกจากนี้ยังมีพล.ต.อักษรย่อ ม.ซึ่งเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ระเบิดด้วย ส่วนกรณีที่ทางด้านของพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ออกมากล่าวหาว่าตนเป็นคนสติไม่ดีนั้นตนไม่สนใจเพราะเห็นว่าใครทำอะไรคงรู้ดีแก่ใจและมั่นใจด้วยว่าในวันพรุ่งนี้ซึ่งตรงกับวันเด็กจะไม่มีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นอีกเนื่องจากขณะนี้มีกำลังตำรวจและทหารคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญอย่างแน่นหนา

Thursday, January 11, 2007

ระเบิดรถเมียทหารหน้า 'ค่ายสิรินธร' ที่ปัตตานี โชคดีไม่มีใครเจ็บ-ตาย

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์กระบะอีซูซุดีแม็ค แค็ป ของภรรยาเจ้าหน้าที่ทหาร ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้รถได้รับความเสียหายเล็กน้อย แต่ไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ภรรยาเจ้าที่ทหารในค่าย ซึ่งเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว ที่มีบ้านพักอยู่ในตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา ได้ขับรถเข้ามาที่ค่ายตามปกติ เมื่อมาจุดแลกบัตรผ่านเข้ามาภายในค่ายก่อนจะถึงจุดตรวจที่ 2 ซึ่งจะมีการตรวจใต้ท้องรถ ก็ได้เกิดระเบิดขึ้นทันที แต่โชคดีที่คนขับไม่ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าคนร้ายคงแอบติดระเบิดไว้ใต้ท้องรถผู้เสียหาย มาก่อน หลังเกิดเหตุได้มีสื่อมวลชนรีบไปทำข่าวจำนวนมาก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ห้ามเข้าไปภายในค่าย